ข้าว สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18-24 ธันวาคม 2566
18 ธ.ค. 2566
202
0
ข้าวสถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์
ข้าว สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18-24 ธันวาคม 2566

ข้าว

สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 18-24 ธันวาคม 2566

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 การผลิต
1) ข้าวนาปี ปี 2566/67 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 61.928 ล้านไร่ ผลผลิต 25.569 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 413 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2565/66 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 62.838 ล้านไร่ ผลผลิต 26.712 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 425 กิโลกรัม หรือลดลงร้อยละ 1.45 ร้อยละ 4.28 และร้อยละ 2.82 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง ขาดแคลนน้ำ ส่งผลให้เกษตรกรในบางพื้นที่ปล่อยที่นาให้ว่าง และบางพื้นที่ปลูกข้าวนาปีได้เพียงรอบเดียว สำหรับผลผลิตต่อไร่ลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำฝนน้อย ส่งผลต่อการงอกของต้นกล้า และการสร้างรวงของต้นข้าวที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับบางพื้นที่พบโรคและแมลงศัตรูพืชระบาด เช่น โรคไหม้คอรวง เพลี้ยไฟ เป็นต้น ส่งผลให้ในภาพรวมผลผลิตทั้งประเทศลดลง
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 - พฤษภาคม 2567 โดยตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2566 มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 25.026 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 97.88 ของผลผลิตข้าวนาปีทั้งหมด
2) ข้าวนาปรัง ปี 2567 สศก. คาดการณ์ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีเนื้อที่เพาะปลูก 9.877 ล้านไร่ ผลผลิต 6.351 ล้านตันข้าวเปลือก และผลผลิตต่อไร่ 643 กิโลกรัม ลดลงจากปี 2566 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูก 11.099 ล้านไร่ ผลผลิต 7.199 ล้านตันข้าวเปลือก ผลผลิตต่อไร่ 649 กิโลกรัม หรือลดลงร้อยละ 11.01 ร้อยละ 11.78 และร้อยละ 0.92 ตามลำดับ เนื้อที่เพาะปลูกลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติน้อยกว่าปี 2566 ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรบางพื้นที่จึงปล่อยที่นาให้ว่าง สำหรับผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว
คาดการณ์ผลผลิตเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - ตุลาคม 2567 โดยคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2567 ปริมาณรวม 4.260 ล้านตันข้าวเปลือก หรือคิดเป็นร้อยละ 67.08
ของผลผลิตข้าวนาปรังทั้งหมด
1.2 การตลาด
มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67
มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2566/67 จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ เพื่อชะลอข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เป้าหมายจำนวน 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อต่อตัน จำแนกเป็น ข้าวเปลือกหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,000 บาท และข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ตันละ 10,000 บาท โดยเกษตรกรที่เก็บข้าวเปลือกในยุ้งฉางตนเอง จะได้รับค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกในอัตราตันละ 1,500 บาท สำหรับสถาบันเกษตรกรที่รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับในอัตราตันละ 1,000 บาท และเกษตรกรผู้ขายข้าวเปลือก ได้รับในอัตราตันละ 500 บาท
2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร ประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรวบรวมข้าวเปลือกจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป เป้าหมาย 1 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.85 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันเกษตรกรร้อยละ 3.85 ต่อปี
3) โครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 14 พฤศจิกายน 2566) โดย ธ.ก.ส. ดำเนินการจ่ายเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีที่ขึ้นทะเบียนกับ   กรมส่งเสริมการเกษตร ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 20,000 บาท
4) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2566/67 (มติ ครม.วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยสามารถรับซื้อจากเกษตรกรได้ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 - 31 มีนาคม 2567 (ภาคใต้ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2567) และเก็บสต็อกในรูปข้าวเปลือกและข้าวสาร ระยะเวลาการเก็บสต็อกอย่างน้อย 60 - 180 วัน (2 - 6 เดือน) นับแต่วันที่รับซื้อ โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4
1.3 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 13,709 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 13,509 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.47
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 10,338 บาท ราคาสูงขึ้นจากตันละ 10,250 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.87
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 31,850 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน   
ข้าวขาว 5% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 20,950 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 881 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,517 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 860 ดอลลาร์สหรัฐฯ (30,172 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.44 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 345 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 650 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,516 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตัน 634 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,243 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.52 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 273 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 644 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,308 บาท/ตัน) ราคาสูงขึ้นจากตันละ 629 ดอลลาร์สหรัฐฯ (22,068 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.38 และสูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ 240 บาท
หมายเหตุ: อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 34.6396 บาท
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
2.1 สถานการณ์ข้าวโลก
1) การผลิต
ผลผลิตข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกปี 2566/67 ณ เดือนธันวาคม 2566 ผลผลิต 518.067 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจาก 512.983 ล้านตันข้าวสาร ในปี 2565/66 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.99
2) การค้าข้าวโลก
บัญชีสมดุลข้าวโลก กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ ได้คาดการณ์บัญชีสมดุลข้าวโลกปี 2566/67 ณ เดือนธันวาคม 2566
มีปริมาณผลผลิต 518.067 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.99 การใช้ในประเทศ 525.046 ล้านตันข้าวสาร เพิ่มขึ้นจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.78 การส่งออก/นำเข้า 52.138 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 0.52 และสต็อกปลายปีคงเหลือ 167.762 ล้านตันข้าวสาร ลดลงจากปี 2565/66 ร้อยละ 3.99
- ประเทศที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่  ปากีสถาน จีน กัมพูชา เมียนมา บราซิล อุรุกวัย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย ตุรกี และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ อินเดีย ไทย เวียดนาม และปารากวัย
- ประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฟิลิปปินส์ จีน ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย อิหร่าน บังกลาเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เม็กซิโก สหราชอาณาจักร เนปาล และเอธิโอเปีย ส่วนประเทศที่คาดว่าจะนำเข้าลดลง ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม บราซิล กานา เคนยา และโมซัมบิก
- ประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่มีสต็อกคงเหลือปลายปีลดลง ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย ไนจีเรีย และญี่ปุ่น
2.2 สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
กัมพูชา
สหพันธ์ข้าวแห่งกัมพูชา คาดการณ์ว่าในปี 2566 การส่งออกข้าวสารจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5 - 10 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้จะส่งผลให้ตลอดทั้งปี 2566 มีการส่งออกข้าวสารประมาณ 670,000 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 95 ของเป้าหมายตามแผนที่กำหนดไว้ 700,000 ตัน
ประธานคณะกรรมการสหพันธ์ข้าวแห่งกัมพูชา กล่าวถึงความสำคัญของการรักษาระดับการส่งออกข้าว เพื่อเป็นการรักษาอุตสาหกรรมข้าวในท้องถิ่นและการดำรงชีวิตของเกษตรกร แม้ว่าการส่งออกข้าวของกัมพูชาจะเติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน แต่เป้าหมายยังคงมุ่งเน้นไปที่การสร้างความยั่งยืนให้ภาคการเกษตรและความอยู่รอดของธุรกิจ
โรงสีข้าว ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย คือ การขาดแคลนข้าวเพื่อการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากผู้ส่งออกข้าวกําลังเผชิญกับปัญหาการแข่งขันกับพ่อค้าข้าวเวียดนามในการรับซื้อข้าวจากเกษตรกร เพราะพ่อค้าข้าวเวียดนามให้ราคาที่สูงกว่า ประกอบกับเวียดนามได้เปรียบทางด้านระบบโลจิสติกส์ที่มีโรงอบข้าว คลังสินค้า ท่าเรือ และระบบการขนส่งที่ดี ซึ่งจากที่มีการแข่งขันรับซื้อข้าวเกิดขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวสารและข้าวเปลือกปรับสูงขึ้น ดังนั้นหากกัมพูชามีข้าวเพียงพอสำหรับส่งออก อาจจะทำให้ส่งออกข้าวได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 แต่การที่กัมพูชาประสบกับภาวะอุปทานข้าวไม่เพียงพอสำหรับการส่งออก และคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวในปีหน้าด้วย ซึ่งราคาข้าวในตลาดโลกจะยังอยู่ในระดับสูง แต่เจ้าของโรงสียังต้องใช้ความพยายามในการรวบรวมข้าวจากเกษตรกร เพื่อให้สามารถแข่งขันด้านการส่งออกข้าวกับคู่แข่งได้
นอกจากนี้ สถานการณ์ในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2567 อาจจะเกิดภาวะวิกฤต เนื่องจากกัมพูชาเริ่มเก็บเกี่ยวข้าวตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ซึ่งอาจจะนําไปสู่การขาดแคลนข้าวเพื่อการส่งออกได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งตรงกับฤดูเก็บเกี่ยวข้าวในฤดูแล้ง คาดว่าการส่งออกข้าวจะเพิ่มขึ้น
ที่มา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
บราซิล
บริษัท Archer Daniels Midland company (ADM) ซึ่งเป็นผู้จัดหาและรับซื้อธัญพืชรายใหญ่ที่สุดของโลก        ได้สั่งซื้อข้าวจากไทย จำนวน 60,000 ตัน เพื่อบรรจุหีบห่อและจำหน่ายในบราซิล โดยคาดว่าเรือขนส่งข้าวจากไทย    จะมาถึงบราซิลช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวของบราซิลแล้ว ประกอบกับราคาข้าวในประเทศปรับสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งจากการที่อินเดียประกาศระงับการส่งออกข้าวและประเทศในเอเชียตัดสินใจจํากัดการส่งออก ทำให้บริษัท ADM ต้องตัดสินใจนําเข้าข้าวจากไทย โดยปริมาณการนําเข้าสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สมาคมอุตสาหกรรมข้าวบราซิล รายงานว่า ปี 2566 (มกราคม-ตุลาคม) บราซิลนําเข้าข้าว 0.909 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ขณะที่มีการส่งออกข้าวปริมาณ 1.3 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 4  เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2565 ทั้งนี้ รัฐ Rio Grande do Sul ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของบราซิล สามารถผลิตข้าวได้ร้อยละ 70 ของการผลิตข้าวทั้งประเทศ กําลังประสบปัญหาความล่าช้าในการเริ่มฤดูการเพาะปลูกถัดไป เนื่องจากน้ำฝนมีปริมาณมากเกินความจำเป็น ทำให้ต้องชะลอการเพาะปลูกข้าว
โดยปี 2566/67 ปลูกข้าวแล้วร้อยละ 77 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด คาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าว 7.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.19 เมื่อเทียบกับการผลิต ปี 2565/66  อย่างไรก็ตาม อาจมีการปรับประมาณการ เนื่องจากการชะลอการปลูกข้าวในรัฐ Rio Grande do Sul

ที่มา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

ตกลง