เนื่องด้วย วันพระบิดาแห่งฝนหลวง ตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี
กลุ่มสารสนเทศการเกษตร สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จึงขอน้อมนำพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำริโครงการฝนหลวงขึ้น เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498 โดยทรงศึกษาค้นคว้าและวิจัยทางเอกสาร ทั้งด้านวิชาการ อุตุนิยมวิทยา และการดัดแปรสภาพอากาศ มาเผยแพร่ ดังนี้
ต้นกำเนิดโครงการพระราชดำริฝนหลวง
โครงการพระราชดำริฝนหลวง เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร ๑๕ จังหวัด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ ๒-๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๘ ในวันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๘ เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์เดลาเฮย์ ซีดานสีเขียว จากจังหวัดนครพนมไปจังหวัดกาฬสินธุ์ ผ่านจังหวัดสกลนครและ เทือกเขาภูพาน ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎร และเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค และการเกษตร เมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับถึงกรุงเทพมหานคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรและนักประดิษฐ์ควายเหล็กที่มีชื่อเสียงเข้าเฝ้าฯ แล้วพระราชทานแนวความคิดนั้นแก่หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล
แนวพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาความผันแปรไม่แน่วนอนของธรรมชาติในเวลานั้น อยู่ที่การจัดการทรัพยากรน้ำใน 2 วิธี คือ
(1) การสร้างเขื่อน (Check dam) และอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กตามลาดเขา เพื่อชะลอการไหลบ่าของน้ำจากเขาไม่ให้ท่วมพื้นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทำกินของประชาชน ในขณะเดียกันเขื่อนและอ่างเก็บน้ำสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งต่อไป
(2) หาวิธีการทำฝนหลวง (Rainmaking) เพื่อบังคับให้เมฆตกเป็นฝนในพื้นที่ที่ต้องการ
ในเรื่องการทำฝนเทียมหรือฝนหลวงนี้ ทรงมีพระราชประสงค์ให้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยหากรรมวิธีดัดแปลงสภาพอากาศที่เหมาะสมกับประเทศไทยในการบังคับให้เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่เป้าหมายที่ต้องการ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนอันเนื่องมาจากภัยแล้งซึ่ง ในปี พ.ศ. 2512 ได้มีการทดลองทำฝนภายใต้การนำของหม่อมราชวงศ์ เทพฤทธิ์ เทวกุล ผู้รับสนองพระราชดำริ ระหว่างปี พ.ศ.2512 – 1214 รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงน้อมรับวิธีการทำฝนหลวงมาปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยแล้งตามการร้องขอของประชาชนควบคู่ไปกับการพัฒนากรรมวิธีการทำฝนหลวงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลาแห่งการพัฒนาฝนหลวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาตามผลการปฏิบัติอย่างใกล้ชิดและทรงประดิษฐ์คิดค้นพัฒนากรรมวิธีด้วยพระองค์เอง และพระราชทานคำแนะนำให้นำไปปฏิบัติจนสัมฤทธิ์ผลในการแก้ไขวิกฤตภัยแล้งได้ตลอดมา
ตำราฝนหลวงพระราชทาน

แถวที่ 1 ช่องที่ 1 – 3
เป็นขั้นตอนที่ 1 เป็นการเร่งให้เกิดเมฆโดยใช้เครื่องบินเมฆอุ่น 1 เครื่อง โปรยสารฝนหลวงผงเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต ในขณะที่ ท้องฟ้าโปร่งหรือมีเมฆเดิมก่อตัวอยู่บ้างความชื้นสัมพัทธ์ไม่ต่ำกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ให้เป็นแกนกลั่นตัว (Cloud Condensation Nuclei) เรียกย่อว่า CCN ความชื้นหรือไอน้ำ จะถูกดูดซับเข้าไปเกาะรอบแกนเกลือแล้วรวมตัวกันเกิดเป็นเมฆ ซึ่งเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเจริญ ขึ้นเป็นเมฆก้อนใหญ่ อาจก่อยอดถึงระดับ 10,000 ฟุต ได้

แถวที่ 2 ช่องที่ 1 – 4
เป็นขั้นตอนที่ 2 เป็นการเร่งการเจริญเติบโตของเมฆที่ก่อขึ้นหรือเมฆเดิมที่มีอยู่ตามธรรมชาติและก่อยอดขึ้นถึงระดับ 10,000ฟุต ฐานเมฆสูงไม่เกิน 7,000ฟุต ใช้เครื่องบินแบบเมฆอุ่นอีกหนึ่งเครื่อง โปรยสารฝนหลวงผงแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2) เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000ฟุต (หรือสูงกว่าฐานเมฆ 1,000ฟุต)ทำให้เกิดความร้อน อันเนื่องมาจากการคายความร้อนแฝง จากการกลั่นตัวรอบ CCN รวมกับความร้อนที่เกิดจาก ปฏิกิริยาของไอน้ำกับสารฝนหลวง CaCl2 โดยตรงและพลังงานความร้อนจาก แสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ จะเร่งหรือเสริมแรงยกตัวของมวลอากาศภายในเมฆยกตัวขึ้น เร่งกิจกรรมการกลั่นตัวของไอน้ำ และการรวมตัวกันของเม็ดน้ำภายในเมฆ ทวีความหนาแน่นจนขนาดของเมฆใหญ่และก่อยอดขึ้นถึงระดับ 15,000 ฟุต ได้เร็วกว่าที่จะปล่อยให้เจริญขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งยังเป็นส่วนของเมฆอุ่น จนถึงระดับนี้ การยกตัวขึ้นและจมลงของ มวลอากาศ การกลั่นและการรวมตัวของเม็ดน้ำยังคงเป็นอย่างต่อเนื่องแบบปฏิกิริยาลูกโซ่ แต่บางครั้งอาจมีแรงยกตัวเหลือพอที่ยอดเมฆอาจ พัฒนาขึ้นถึงระดับสูงกว่า 20,000 ฟุต ซึ่งเป็นส่วนของเมฆเย็น เริ่มตั้งแต่ระดับประมาณ 18,000 ฟุตขึ้นไป (อุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส)

แถวที่ 3 ช่องที่ 1 – 4
เป็นขั้นตอนที่ 3 เป็นการเร่งหรือบังคับให้เกิดฝน เมื่อเมฆอุ่นเจริญเติบโตขึ้นจนเริ่ม แก่ตัวจัด ฐานเมฆลดระดับต่ำลงประมาณ 1,000 ฟุต และเคลื่อนตัวใกล้ เข้าสู่พื้นที่เป้าหมาย ทำการบังคับให้ฝนตกโดยใช้เทคนิคการโจมตี แบบ Sandwich โดยใช้เครื่องบินเมฆอุ่น 2 เครื่อง เครื่องหนึ่งโปรยผงโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ทับยอดเมฆ หรือไหล่เมฆที่ระดับไม่เกิน 10,000 ฟุต ทำด้านเหนือลม อีกเครื่องหนึ่งโปรยผง ยูเรีย (Urea) ที่ระดับฐานเมฆด้านใต้ลม ให้แนวโปรยทั้งสองทำมุมเยื้องกัน 45 องศา เมฆจะทวีความหนาแน่นของเม็ดน้ำขนาด ใหญ่และปริมาณมากขึ้น ล่วงหล่นลงสู่ฐานเมฆทำให้ฐานเมฆหนาแน่นจนใกล้ตกเป็นฝน หรือเริ่มตกเป็นฝนแต่ยัง ไม่ถึงพื้นดิน หรือตกถึงพื้นดินแต่ปริมาณยังเบาบาง

แถวที่ 4 ช่องที่ 1 – 3
เป็นขั้นตอนที่ 4 เป็นการเสริมการโจมตีเพื่อเพิ่มปริมาณฝนให้สูงขึ้น เมื่อกลุ่มเมฆ ฝนตามขั้นตอนที่ 3 ยังไม่เคลื่อนตัวเข้าสู่เป้าหมาย ทำการเสริมการโจมตี เมฆอุ่นด้วยสารฝนหลวงสูตรเย็นจัดคือน้ำแข็งแห้ง (Dry Ice) ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำระดับ –78 องศาเซลเซียส ที่ใต้ฐานเมฆ 1,000 ฟุต จะทำให้อุณหภูมิของ มวลอากาศใต้ฐานเมฆ ลดต่ำลงและความชื้นสัมพัทธ์สูงขึ้นจะทำให้ฐานเมฆยิ่งลดระดับต่ำลงปริมาณฝนตกหนาแน่นยิ่งขึ้น และชักนำให้กลุ่มฝนเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่เป้าหมายหวังผลได้แน่นอนและเร็วขึ้น

แถวที่ 5 ช่องที่ 1 – 3
เป็นขั้นตอนที่ 5 เป็นการโจมตีเมฆเย็นด้วย Agl ขณะที่เมฆพัฒนายอดสูงขึ้นในขั้น ตอนที่ 2 ถึงระดับเมฆเย็น และมีแค่เครื่องบินเมฆเย็นเพียงเครื่องเดียว ทำการโจมตีเมฆเย็นโดยการยิงพลุสารฝนหลวงซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Agl) ที่ระดับความสูงประมาณ 21,500ฟุต ซึ่งมีอุณหภูมิระดับ –8 ถึง –12 องศาเซลเซียส มีกระแสมวล อากาศลอยขึ้นกว่า 1,000 ฟุตต่อนาที และมีปริมาณน้ำเย็นจัดไม่ต่ำกว่า 1 กรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่ง เป็นเงื่อนไขเหมาะสม ที่จะทำให้ไอน้ำระเหยจากเม็ดน้ำเย็นยิ่งยวด (Super cooled vapour) มาเกาะตัวรอบแกน Agl กลายเป็นผลึกน้ำแข็งได้ด้วยประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ไอน้ำที่แปรสภาพเป็นผลึกน้ำแข็งจะทวีขนาดใหญ่ขึ้นจนร่วงหล่นลงมา และละลายเป็นเม็ดฝนเมื่อเข้าสู่ระดับเมฆอุ่น และจะทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้ามาเกาะรวมตัว กันเป็นเม็ดใหญ่ขึ้น ทะลุฐานเมฆเป็นฝนตกลงสู่พื้นดิน

แถวที่ 6 ช่องที่ 1 – 3
แถวที่ 6 ช่องที่ 1 – 3 เป็นขั้นตอนที่ 6 เป็นการโจมตีแบบ SUPER SANDWICH จะทำได้ต่อเมื่อมีเครื่องบินปฏิบัติการทั้งเมฆอุ่นและเมฆเย็นใช้ปฏิบัติการได้ ครบถ้วนขณะที่ทำการโจมตีเมฆอุ่นตามขั้นตอนที่ 3 และ 4 ทำการโจมตีเมฆเย็นตามขั้นตอนที่ 5 ควบคู่กันไปในขณะเดียวกัน จะทำให้ฝนตกหนักและต่อเนื่องนานและ ปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการประสานประสิทธิภาพของการโจมตีเมฆอุ่นในขั้นตอนที่ 3 และ 4 และโจมตีเมฆ เย็นในขั้นตอนที่ 5 ควบคู่กันไปในขณะเดียวกันเทคนิคการโจมตีนี้โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า SUPER SANDWICH
พื้นที่รับผิดชอบของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงประจำภาค

ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวง |
จำนวนจังหวัด |
พื้นที่รับผิดชอบ |
อ่างเก็บน้ำ |
1.ภาคเหนือ
โทร.053-275-051 และ 053-903010
|
15 |
เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา เชียงราย สุโขทัย แม่ฮ่องสอน ตาก พิษณุโลก แพร่ น่าน พิจิตร กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ |
ภูมิพล สิริกิติ์ กิ่วคอหมา กิ่วลม แม่กวงอุดมธารา แม่งัดสมบูรณ์ชล แควน้อยบำรุงแดน |
2. ภาคกลาง
(นครสวรรค์/ลพบุรี)
โทร.056-256-018 และ 056-256-569
|
14 |
นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา กาญจนบุรี นครปฐม นนทบุรี ปทุมะานี กรุงเทพฯ |
ทับเสลา ป่าสักชลสิทธิ์ ศรีนครินทร์ กระเสียว วชิราลงกรณ์ |
3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ขอนแก่น)
โทร. 043-468-217
|
20 |
ขอนแก่น กาฬสินธุ์ อุดรธานี บึงกาฬ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด นครพนม เลย สกลนคร หนองคาย มุกดาหาร หนองบัวลำภู อุบลราชธานี สุรินทร์ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ |
อุบลรัตน์ จุฬาภรณ์ ลำปาว ลำตะคอง ลำพระเพลิง ลำแซะ ห้วยหลวง ลำนางรอง ลำมูลบน ลำปลายมาศ ลำอูน น้ำพุง |
4. ภาคตะวันออก (ระยอง/สระแก้ว)
โทร. 038-025-729
|
8 |
ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก |
ขุนด่านปราการชล พระปรง สียัด บางพระ ดอกกราย หนองปลาไหล ประแสร์ คลองพระพุทธ |
5. ภาคใต้
(สุราฏร์ธานี/สงขลา)
โทร. 077-268-870
|
20 |
ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ภูเก็ต สงขลา พัทลุง พังงา สตูล กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช ระนอง นราธิวาส ปัตตานี ยะลา ตรัง |
แก่งกระจาน
ปราณบุรี
รัชชประภา
บางลาง
|
รวมทั้งหมด 5 ศูนย์ |
77 |
|
36 เขื่อน |
ข้อมูล (Credit) : กรมฝนหลวงและการบินเกษตร http://www.royalrain.go.th/royalrain/
จัดทำ/เรียบเรียง : กลุ่มสารสนเทศการเกษตร สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดกำแพงเพชร