นโยบายขับเคลื่อนงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร)
18 ก.ค. 2568
31
0
นโยบายขับเคลื่อนงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นโยบายขับเคลื่อนงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร)

นโยบายขับเคลื่อนงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอรรถกร ศิริลัทธยากร)
วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุมธารทิพย์ 01 ชั้น 4 อาคาร 99 ปี
หม่อมหลวงชูชาติ กำภู กรมชลประทาน สามเสน
หลักการทำงาน : พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งเน้นการสืบสาน รักษา และต่อยอด เน้นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านการเกษตรและวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเกษตรของโลก
โดยสานต่อนโยบายเดิม 9 นโยบาย ดังนี้
1. เน้นการสร้างวิธีการทำงานสู่การปฏิบัติ ได้แก่
1.1) เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์บริการเกษตรพิรุณราช โดยเน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการให้บริการแบบเข้มข้นเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่ สามารถรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ขอรับความช่วยเหลือ และส่งต่อเรื่องให้ศูนย์บริการฯ ส่วนกลางได้โดยที่เกษตรกรไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่ศูนย์บริการฯ
1.2) ครอบครัวเกษตร ต้องบูรณาการงานอย่างเข้มแข็ง ทำได้เร็ว ทำได้จริง จะเห็นตามภาพข่าวว่า ภาคการเกษตรต้องประสบปัญหารายวัน กระทรวงเกษตรฯ จะต้องทำงานเชิงรุกให้เข้าถึงพี่น้องเกษตรกรและประชาชน การทำงานแบบครอบครัวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเป็นต้องเพิ่มความเข้มแข็ง ลงพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาของพี่น้องเกษตรกรได้เร็ว ทั่วถึง ถูกต้อง และเห็นผลได้ชัดเจน โดยยึดผลประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก และขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ และยกระดับความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่านกลไกความร่วมมือภาครัฐและเอกชนที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์
1.3) สานต่อภารกิจการกำกับดูแลสินค้าเกษตร ทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง ให้ทำงานแบบเชิงรุก รับฟังและเตรียมการแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องปรับบทบาทให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จะดูแลด้านการผลิตอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องดูแลด้านการตลาดโดยใช้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรให้เป็นประโยชน์ หรือแม้แต่กรมส่งเสริมสหกรณ์ ก็ต้องเป็นหน่วยงานที่ช่วยกระจายผลผลิตสินค้าเกษตรให้ได้ถูกที่ถูกเวลาตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง
2. เร่งรัดการจัดที่ดินทำกินให้กับเกษตรกร ขยายผลการยกระดับเอกสารสิทธิให้เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร รวมถึงพัฒนาช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุน พร้อมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรให้เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน และสามารถแปลงสินทรัพย์ในที่ดินให้เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อสร้างรายได้และความยั่งยืนให้กับเกษตรกร
3. บริหารจัดการน้ำทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง และการเติมน้ำในเขื่อน เรื่องน้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการทำการเกษตร ต้องฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และกรมพัฒนาที่ดินช่วยในการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ โครงการใด ๆ ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ อาจจะติดขัดในเรื่องกฎหมาย หรือการดำเนินงานในพื้นที่ ขอให้รายงานเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันโดยเร็ว
4. ยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง จะเป็นทางรอดของเกษตรกร โดยเน้นการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงกับความต้องการของตลาด สร้าง Brand หรือ Story ของจังหวัด/อำเภอให้เป็นที่รู้จัก ติดตลาด เรื่องนี้ต้องขยายผลในพื้นที่ให้เกิดการตื่นตัว และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการสร้างอาชีพเสริมในช่วงหลังฤดูการผลิต เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร
5. ยกระดับศักยภาพของเกษตรกร/สถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง
5.1) ส่งเสริมเกษตรกร/สถาบันเกษตรกรเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร โดยสนับสนุนให้เกษตรกร/สถาบันเกษตรกรที่มีความพร้อม มีเครื่องมือเครื่องจักรกลการเกษตรใช้ในที่ดินของตนเองตามความจำเป็นและเหมาะสมกับพื้นที่และชุมชน (สนับสนุนในรูปแบบของ Soft Loan) โดยในชุมชนต้องให้เกษตรจังหวัด (กรมส่งเสริมการเกษตร) เป็นหลักในการประชาสัมพันธ์และขึ้นทะเบียนเครื่องจักรกลการเกษตรให้ชัดเจน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนในชุมชน และเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้เสริมให้กับคนในชุมชนจากการเป็นผู้ให้บริการทางการเกษตร
5.2) ส่งเสริมการทำธุรกิจสหกรณ์การเกษตรให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุน และนำแหล่งทุนมาต่อยอดธุรกิจสร้างรายได้เพิ่มเพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหกรณ์การเกษตร ขณะเดียวกัน ขอให้เน้นการประเมินผลของสหกรณ์การเกษตรด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ
6. จัดการทรัพยากรทางการเกษตร
6.1) ทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย BCG โดยการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อรองรับนโยบาย/มาตรการการค้าด้านสิ่งแวดล้อมโลก เช่น EUDR, CBAM และ Carbon Credit โดยทำการเกษตรที่ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม การลด การเผาซังข้าว/ตอซัง การกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ถูกต้อง การลดปริมาณปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง และส่งเสริม การผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย การเกษตรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งการแก้ปัญหา PM 2.5 การนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ในการผลิตพลังงาน
6.2) ส่งเสริมฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยกรมพัฒนาที่ดินเป็นหลักในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เหมาะสมกับการผลิต (Agri-Map) รวมถึงการปรับปรุงบำรุงดินและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน
7. รับมือกับภัยธรรมชาติ ต้องมีการวางแผน/มาตรการเชิงรุก และมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน เพื่อรับมือตั้งแต่การป้องกัน แก้ไข และฟื้นฟูเมื่อประสบเหตุภัยแล้ง หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ หน่วยงานสามารถดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ได้ทันที รวมถึงการสร้างอาชีพใหม่ให้กับเกษตรกรในช่วงที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ
8. สานต่อการทำสงครามสินค้าเกษตรเถื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมายให้เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมถึงการตรวจสอบสต็อกสินค้าเกษตรในประเทศ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ และควบคุมการนำเข้า/ป้องกันการกักตุน/เก็งกำไร โดยเฉพาะช่วงก่อนที่ผลผลิตออกสู่ตลาด
9. อำนวยความสะดวกด้านการเกษตร
9.1) พัฒนาระบบการประกันภัยภาคการเกษตร เพื่อเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกร ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการประกันภัยข้าวนาปี และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แล้ว มีผลการดำเนินงาน และปัญหาอุปสรรคอย่างไร ในระยะต่อไปควรมีการดำเนินการต่อเนื่องอย่างไร และสามารถขยายผลไปในพืชอื่นได้หรือไม่ อย่างไร ควรมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นถึงประโยชน์ว่า สามารถลดภาระในการชดเชยเยียวยาของภาครัฐได้มากน้อยแค่ไหน
9.2) ผลักดันนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยต้องใช้กลไกความร่วมมือจากภาคเอกชน/ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญ ในระดับจังหวัด เกษตรและสหกรณ์จังหวัด ต้องทำหน้าที่เหมือนพ่อค้า สื่อสาร 2 ทาง ทางแรก ต้องประสานและหารือกับพาณิชย์จังหวัด และผู้ประกอบการ เพื่อให้ทราบถึงความต้องการชนิดสินค้า ปริมาณ และคุณภาพ อีกทางหนึ่งคือ สื่อสารกับเกษตรกร เพื่อส่งเสริมการผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาด และต้องรู้ด้วยว่า เรามีสินค้าเกษตรอะไรบ้างที่ดีมีคุณภาพอยู่ในมือ พยายามนำนวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะการขายสินค้าเกษตรผ่านแอพพลิเคชั่นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ในกระทรวงเกษตรฯ เอง ต้องใช้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร รวมถึงทูตเกษตร เป็นกลไกสำคัญในการขยายตลาดเดิมและเพิ่มตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศให้ได้
การดำเนินนโยบายในวันนี้ ขอให้ยึดหลักการสานต่อนโยบายเดิมของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) โดยเพิ่มเติมมาตรการขับเคลื่อนในเรื่องของการลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมแกร่งเกษตรกร ดังนี้
1. การลดต้นทุน เพิ่มรายได้
1.1) การจัดหาพันธุ์ดีทั้งพืช ประมง และปศุสัตว์ เรื่องพันธุ์ดีเป็นปัจจัยสำคัญของพี่น้องเกษตรกร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องสนับสนุนพันธุ์ดีที่ตลาดต้องการ ไม่เน้นความหลากหลาย แต่เน้นคุณภาพได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของตลาด ที่สำคัญเกษตรกรต้องผลิตและขายได้ในราคาที่ดีด้วย
1.2) ส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตร ต้องปรับการทำงานของกระทรวงเกษตรฯ ไม่เพียงแต่กำกับดูแลในเรื่องของการผลิต ต้องให้หน่วยที่เกี่ยวข้อง กำกับดูแลในมิติของการแปรรูปขั้นต้น รวมถึงการบรรจุภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรด้วย ฝากกรมการข้าว กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมหม่อนไหม กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ต้องช่วยกันในเรื่องนี้ เพื่อให้เกษตรกรสามารถแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้
1.3) บริหารจัดการด้านการตลาดสินค้าเกษตร กระทรวงเกษตรฯ ต้องทำในเรื่องนี้เพิ่ม ที่ผ่านมาเราส่งเสริมเกษตรกรผลิต อาศัยพาณิชย์เป็นตลาด แต่ในยุคปัจจุบันกระทรวงเกษตรฯ ต้องดูแลทั้งระบบตั้งแต่ข้อมูลการผลิต ส่งเสริมการผลิต การแปรรูป และการตลาด ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก การทำการตลาดง่ายและสะดวกขึ้น สามารถขายผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ได้ หน่วยงานในกระทรวงเกษตรฯ ต้องส่งเสริมให้เกษตรกรหาตลาดได้ด้วยตนเอง สนับสนุนการสร้างแบรนด์ของชุมชน และสร้างเรื่องราว (Story telling) ของสินค้าเกษตรในชุมชนให้เป็นที่รู้จัก และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ต้องปรับตัว ต้องเป็นตลาดรองรับผลผลิตของเกษตรกร พยายามช่วยให้เกษตรกรผลิตได้ ขายเป็น ลดการเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง ต้องผลักดันนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรให้สำเร็จ
2. เสริมแกร่งเกษตรกรให้สามารถแข็งขันได้
2.1) ผลักดันเรื่องการสร้างโอกาสขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของเกษตรกร ปัญหาหลักของเกษตรกรคือ หนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนการเกษตรที่สูงขึ้น และรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ซึ่งถือเป็นภาระหนักของพี่น้องเกษตรกร ทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรในฤดูการผลิตต่อไปได้ เราจำเป็นต้องสร้างโอกาสให้กับเกษตรกรด้วยการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับเกษตรกร ควบคู่ไปกับการสร้างวินัยทางการเงินในการเก็บออมและชำระหนี้ ให้เกษตรกรมีทางเลือกมีเงินลงทุนทำการเกษตรในระยะต่อไปให้ดียิ่งขึ้น – มอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานให้รวดเร็ว
2.2) สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับเกษตรกร รัฐบาลได้รับทราบปัญหาข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเกษตรกร เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตภาคการเกษตร ซึ่งเรื่องนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะใช้กลไกต่าง ๆ เช่น กองทุน ธนาคารของรัฐ รวมถึงความร่วมมือของภาคเอกชนมาสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเกษตรกรในรูปแบบ Soft Loan – มอบหมายปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ประสานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารพาณิชย์อื่นที่มีความพร้อม
2.3) ปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยให้เป็นปัจจุบัน เพื่อลดขั้นตอนและกระบวนการที่เป็นปัญหาอุปสรรค รวมถึงการสร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยให้เข้มแข็ง และป้องกันสินค้าเกษตรที่ทะลักเข้ามาในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ขอให้ทุกหน่วยงานไปทบทวนกฎหมายที่ตัวเองใช้อยู่ ฉบับใดที่มีอายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป หรือฉบับใดที่มีปัญหาในทางปฏิบัติและเป็นอุปสรรคต่อเกษตรกร การค้าสินค้าเกษตร ขอให้กำหนดแนวทางแก้ไขพร้อม Timeline ให้เป็นรูปธรรม เรื่องนี้ต้องเอาจริงเอาจัง และจะติดตามผลความก้าวหน้าเป็นระยะ
ทั้งหมดนี้เป็นการสานต่อนโยบายเดิมของอดีตท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) เพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดคือ ทำให้เกษตรกรลดต้นทุน มีรายได้ มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น
การดำเนินงานนับจากนี้ จะมีการติดตามผลความก้าวหน้าในทุกนโยบายที่ได้มอบหมายไปอย่างต่อเนื่อง ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างแข็งขันของทุกท่าน และขอขอบคุณครอบครัวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการดำเนินงานต่อไป

สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จังหวัดปราจีนบุรี
ตกลง