สืบเนื่องจากในปีนี้ ประเทศไทยอาจเผชิญวิกฤต “พายุโซนร้อน” อีกหลายระลอกเคลื่อนตัวผ่านประเทศไทย อาจทำให้มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ของประเทศ จึงขอนำเสนอมาตรการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตร หลังน้ำลด ให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกพืช สร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง
กรณีน้ำท่วมขังเน่าเสียในพื้นที่การเกษตร ทำให้เกิดลูกน้ำและยุงรำคาญ กรมพัฒนาที่ดินได้แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพ สารบำบัดน้ำเสีย สารเร่งซุปเปอร์ พด.6 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการย่อยสลายขยะสด ช่วยบำบัดน้ำเน่าเสีย และขจัดกลิ่นเหม็นได้
การฟื้นฟูสวนยางพารา หลังน้ำลดต้องทำอย่างถูกวิธี เพื่อให้ต้นยางกลับมาสมบูรณ์และให้ผลผลิตได้ตามปกติ โดยเริ่มจากระบายน้ำออกจากสวนโดยเร็วที่สุด หากน้ำท่วมขังนานเกิน 30 วัน ควรขุดร่องน้ำเพื่อช่วยระบายน้ำ และหลีกเลี่ยงการเหยียบย่ำหรือใช้เครื่องจักรกลหนักในระยะแรกที่ดินยังเปียกชื้น เมื่อดินแห้งแล้วจึงค่อยพรวนดินบริเวณโคนต้นยางอายุน้อย และใส่ปุ๋ยหมักที่ผสมสารเร่งเพื่อให้ดินฟื้นตัว สำหรับต้นยางที่ได้รับความเสียหาย ให้ตัดแต่งกิ่งและทาปูนขาวบริเวณรอยแผล งดการกรีดยางจนกว่าสภาพต้นยางจะกลับมาสมบูรณ์
สำหรับสวนยางพารา ที่ประสบอุทกภัยจนเสียสภาพสวน หรือต้นยางได้รับความเสียหายเกิน 20 ต้น/แปลง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้จัดสวัสดิการเยียวยากรณีสวนยางประสบภัยจนเสียสภาพสวน รายละไม่เกิน 3,000 บาท โดยเกษตรกรชาวสวนยางสามารถยื่นขอรับความช่วยเหลือด้านสวัสดิการเกษตรกรชาวสวนยางได้ที่ กยท.จังหวัด/สาขา ที่สวนยางตั้งอยู่ ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ประสบภัย สามารถสอบถามเงื่อนไขรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสวัสดิการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางกรณีสวนยางประสบภัย ได้ที่ กองสวัสดิการเกษตรกร ฝ่ายพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โทร. 0-2433-2222 ต่อ 242 หรือ กยท. ใกล้บ้าน
การฟื้นฟูแปลงปลูกผัก หลังน้ำลด เนื่องจากผักส่วนใหญ่เป็นพืชอายุสั้น ระบบรากตื้น เมื่อน้ำท่วมขังแปลงผักเป็นเวลานานติดต่อหลายสัปดาห์ จะทำให้พืชผักตายหมด หากน้ำท่วมติดต่อเกินกว่า 5-7 วัน จะทำให้สภาพพื้นที่ปลูกและโครงสร้างดินในแปลงปลูกเสียหาย เมื่อน้ำลด จะยังไม่สามารถปลูกผักได้ทันที จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูสภาพดินให้เหมาะสมและเมื่อปลูกผักในแปลงปลูกหลังน้ำลดใหม่ๆ จำเป็นต้องมีการดูแลรักษามากกว่าปกติ
การเตรียมดินและการจัดการดินหลังน้ำลดระยะแรกที่ดินยังเปียกอยู่ ห้ามคนและสัตว์เลี้ยงเข้าไปเหยียบย่ำในแปลงปลูกรวมถึงห้ามนำเครื่องจักรเข้าไปในพื้นที่เพราะจะทำให้โครงสร้างดินที่เปียกชุ่มมีการอัดแน่น ทำให้เกิดผลเสียต่อการไหลซึมของน้ำ เมื่อดินแห้ง โครงสร้างของดินจะจับกันแน่นแข็งตัวมาก ทำให้ยากต่อการปรับปรุงดิน พื้นที่ที่ยังมีน้ำขังอยู่ ควรหาทางระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด เช่น การขุดร่องระบายน้ำเพื่อให้เกิดทางไหลออกจากแปลงโดยเร็ว เมื่อพื้นดินเริ่มแห้งพอที่จะเข้าไปปรับสภาพดินเพื่อปลูกผักได้ให้ทำการไถพรวนและตากดินไว้ 2-3 วัน เพื่อให้ดินแห้งมากขึ้นและเติมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเก่าคลุกเคล้าดินเพื่อให้ดินมีคุณสมบัติทางกายภาพในการปลูกพืชที่ดีขึ้น เพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่ดิน อาจโรยปูนขาวหรือโดโลไมท์ในการปรับปรุงดินด้วยเพื่อป้องกันปัญหาโรครากเน่า จากนั้นจึงค่อยเพาะปลูกพืชได้ตามปกติ
การฟื้นฟูไม้ผลหลังน้ำลด กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำว่า การฟื้นฟูไม้ผลหลังน้ำลด ให้กลับคืนสภาพเดิมเร็ว โดยกระทบกระเทือนต่อต้นไม้น้อยที่สุด เกษตรกรควรบำรุงไม้ผลให้เกิดรากใหม่ และแตกใบอ่อนโดยเร็ว พร้อมทั้งมีการจัดการดินอย่างถูกต้อง
การจัดการระบายน้ำในสวนไม้ผล เริ่มจากเสริมคันดินให้สูงและแข็งแรง ต้านทานน้ำจากภายนอก โดยยกขอบแปลงให้คันดินสูงกว่าระดับน้ำที่เคยท่วมไม่ต่ำกว่า 50 เซนติเมตร เตรียมเครื่องสูบน้ำเพื่อสูบน้ำออก รวมทั้งทำทางระบายน้ำโดยใช้พลั่วดึงเศษพืชและดินเลนทับถมออกให้หมด และขุดร่องระบายน้ำให้ลึก เพื่อช่วยให้ดินในสวนแห้งเร็วขึ้น ระยะนี้ถ้ามีเครื่องเติมอากาศสู่ดิน ก็จะช่วยให้ต้นไม้ฟื้นตัวเร็ว และช่วยไล่น้ำที่ยังค้างอยู่ในดินสามารถระบายออกได้เร็วขึ้น หรือใช้ไม้ไผ่เจาะรูปักไว้ใต้โคนต้นเพื่อระบายความร้อนและแก๊สพิษออกจากโคนต้นขณะที่น้ำท่วมขังและดินแฉะ กรณีที่น้ำท่วมขังบ่อย อาจใช้วิธีฝังท่อพีวีซีในแนวตั้งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 นิ้วรอบแนวทางพุ่มเพื่อดูระดับน้ำและสูบออก
การบำรุงดินหลังน้ำลด ห้ามนำเครื่องจักรกลเข้าไปดำเนินการในสวนหลังน้ำลด ขณะที่ดินยังเปียกอยู่ รวมทั้งคน สัตว์เลี้ยงเพราะจะทำให้โครงสร้างดินถูกทำลายเกิดการอัดแน่นได้ง่าย ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อการไหลซึมของน้ำและกระทบกระเทือนต่อรากของไม้ผล เมื่อดินแห้งให้ขุดเอาดินทรายหรือตะกอนต่าง ๆ ในแปลงไม้ผลออกและพรวนดินเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้แก่รากพืชแตกใหม่ได้ดีขึ้น ฟื้นฟูคุณสมบัติของดินโดยการใส่ปุ๋ยหมักผสมสารเร่งพด.3 ในกรณีที่พื้นที่อยู่ในสภาพน้ำแช่ขังเป็นเวลานาน และเสี่ยงต่อการเกิดโรค หากดินในพื้นที่หลังจากน้ำท่วม เกิดสภาพเป็นกรดให้ใส่อินทรีย์วัตถุหรือปูนขาว เพื่อปรับสภาพความเป็นกรดของดิน ปริมาณตามความรุนแรงของกรดในพื้นที่
การค้ำยัน/พยุงต้นไม้ผลที่เอนหรือล้ม หากน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานาน ต้นจะล้มได้ง่าย เนื่องจากพื้นดินอ่อนตัวเพราะชุ่มน้ำ รากจะเน่า เพราะไม่มีอากาศหายใจ และมีเชื้อโรคเข้าทำลายบางส่วน อาจมีรากที่ยังยึดเกาะอยู่กับดินลึกๆ ทำให้ยังอยู่รอด เมื่อน้ำลดแล้ว ให้ตรึงต้นไม้ไม่ให้โยกคลอนด้วยแรงลม โดยการค้ำยันต้นไม้อย่างน้อย 3 ทิศทาง เพื่อป้องกันการโค่นล้ม อาจใช้ไม้ยาวๆ ค้ำหรือใช้เชือกผูกตรึงกับต้นไม้
การตัดแต่งกิ่งและทรงพุ่มหลังน้ำลด เมื่อดินเริ่มแห้ง ตัดแต่งกิ่งแก่ กิ่งที่ฉีก หัก เหี่ยวเฉา แน่นทึบและกิ่งที่อยู่ภายในทรงพุ่มที่ไม่ได้รับแสงแดด รวมทั้งตัดแต่งกิ่งขนาดใหญ่ออกบางส่วน เพื่อลดแรงปะทะจากลมให้ทรงพุ่มโปร่งเป็นการลดการคายน้ำของพืชและเร่งให้พืชแตกใบใหม่ หากมีต้นไม้โค่นล้ม ควรทำการตัดแต่งกิ่งและพยุงต้นที่โค่นล้มให้ตั้งตรง พร้อมทั้งทำไม้ค้ำยันไว้รอบด้าน หากยังมีผลติดอยู่ให้ตัดผลออกเพื่อไม่ให้แย่งอาหารที่จะนำไปฟื้นฟูรากและลำต้น การฟื้นฟูความสมบูรณ์ของต้นไม้ในระยะนี้ ระบบรากยังไม่สามารถดูดซึมอาหารจากดินได้ตามปกติ จึงควรให้ปุ๋ยทางใบ เช่น ปุ๋ยน้ำสูตร 12–12–12 หรือ 12–9–6 หรือ ปุ๋ยเกล็ดสูตร 21–21–21 หรือ 16–21–27 ละลายน้ำฉีดพ่นให้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15–15–15 ใส่ในร่องที่ขุดรอบๆ ทรงพุ่มขนาดกว้าง 15 เซนติเมตร ลึก 15 เซนติเมตร หรือใส่ที่โคนต้นในกรณีที่ต้นยังเล็ก
การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช หากถูกน้ำท่วมนาน หลังน้ำลดจะเกิดปัญหาโรครากเน่าโคนเน่า ควรป้องกันด้วยการราดหรือทาลำต้นไม้ผลด้วย สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น เมทาแลกซิล (metalaxyl) หรือฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม (fosetyl-aluminium) หรือใช้เชื้อราปฎิปักษ์เช่น ไตรโครเดอร์มา
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบข่าวจาก กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร และ กยท.