ในปัจจุบัน การเลี้ยงโคนมในประเทศไทยมีแนวทางใหม่ที่ช่วยให้การจัดการฟาร์มง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีการพัฒนาไปสู่การใช้เทคโนโลยีด้านโภชนาการที่ทันสมัยมากขึ้น ซึ่งการเลี้ยงโคนมให้ได้ผลดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการจัดการอาหารที่ถูกต้องเหมาะสมด้วย นั่นก็คือ การให้อาหารผสมครบส่วนหรือที่เรียกกันว่าอาหาร TMR ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้การจัดการอาหารง่ายขึ้น และช่วยให้โคนมได้รับสารอาหารครบถ้วนทุกมื้อ ทำให้โคนมแข็งแรง ผลผลิตสูง และลดปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดจากการให้อาหารแบบเดิม
อาหารผสมครบส่วน ที่คนทั่วไปมักเรียกกันว่าอาหาร "TMR" หมายถึง อาหารผสมสำเร็จรูป ที่ผลิตขึ้นมาจากการนำวัตถุดิบอาหารหยาบและอาหารข้นมาผสมกันในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยต้องคำนวณสัดส่วนของอาหารทั้ง 2 ชนิด จากน้ำหนักแห้ง และมีคุณค่าทางโภชนะตรงตามความต้องการของโคนมในแต่ละช่วงการเลี้ยงหรือระดับการให้น้ำนม การเลี้ยงโคนมโดยใช้อาหาร TMR เป็นวิธีการให้อาหารสมัยใหม่เกษตรกรสามารถนำมาใช้ทดแทนวิธีการให้อาหารแบบเดิม ซึ่งเป็นการให้อาหารแบบแยกส่วน
ในอดีตเกษตรกรนิยมให้อาหารโคนมโดยแยกการให้อาหารหยาบและอาหารข้นโดยจะให้อาหารหยาบตลอดทั้งวัน และให้อาหารข้นวันละ 1-2 ครั้ง การให้โคกินอาหารแบบแยกกันระหว่างอาหารหยาบและอาหารข้น ความเป็นกรด-ด่างในกระเพาะรูเมน หรือกระเพาะหมัก หรือกระเพาะผ้าขี้ริ้ว จะเปลี่ยนแปลงไปตามอาหารที่ให้ตลอดเวลา เช่น ถ้าให้โคกินอาหารข้นปริมาณมาก โอกาสที่กระเพาะหมักจะเป็นกรดมากขึ้น ในช่วงที่เกษตรกรให้อาหารข้นจะมีโอกาสที่ค่าความเป็น กรด-ด่าง ในกระเพาะหมัก ลดลงต่ำกว่า 5 จะทำให้โคนมมีประสิทธิภาพการใช้อาหารลดลง การผลิตไขมันในน้ำนมลดลง และโคจะแสดงอาการป่วยเนื่องจากมีกรดในกระเพาะสูง ในขณะที่การเลี้ยงโคนมด้วยหญ้าหรืออาหารหยาบจะทำให้ค่าความเป็น กรด-ด่าง ในกระเพาะหมักสูงขึ้น เนื่องจากมีการเคี้ยวเอื้องทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำลาย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่างไหลกลับเข้าสู่กระเพาะหมัก
อาหาร TMR จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยควบคุมระดับความเป็น กรด-ด่าง ในกระเพาะหมักให้คงที่ ซึ่งเป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคนมในฟาร์มของเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน ปัจจุบันมีบริษัทผลิตอาหารสัตว์ให้ความสนใจและเริ่มทดสอบการผลิต TMR ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น
การใช้ TMR เลี้ยงโคนมจะช่วยควบคุมความเป็นกรด-ด่างในกระเพาะหมักที่อยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของจุลินทรีย์ในกระเพาะหมัก การให้อาหารหยาบและอาหารข้นพร้อม ๆ กัน ในรูปของอาหาร TMR หรืออาหารผสมสำเร็จรูป จึงเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถควบคุมระดับความเป็นกรด-ด่างในกระเพาะหมักให้คงที่ได้ดีกว่าการให้อาหารแยกกัน เนื่องจากความเป็นกรด-ด่าง ในกระเพาะหมัก มีความสำคัญต่อขบวนการย่อยอาหารของโค การควบคุมให้ความเป็น กรด-ด่าง ในกระเพาะหมัก คงที่ได้ จะสามารถเพิ่มการย่อยอาหารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วงของความเป็นกรด - ด่าง ที่เหมาะสม ควรเป็น 6.0 - 6.5 ซึ่งจะมีผลโดยตรงมาจากอาหาร
การย่อยอาหารของโคจะเกิดขึ้นในกระเพาะหมักเป็นส่วนใหญ่ จากการทำงานของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ในกระเพาะหมักที่จะทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารเป็นกรดไขมัน แต่สูตรอาหาร TMR จำเป็นต้องลดขนาดของอาหารหยาบลง เพื่อให้อาหารหยาบสามารถผสมเข้ากันดีกับอาหารข้น และลดความฟ่ามหรือความแห้งซุยของอาหาร ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการกินได้ของโคนม รวมถึงช่วยลดการเลือกกินอาหารของโคนม แต่การลดขนาดของอาหารหยาบจะทำให้การเคี้ยวเอื้องและการหมุนเวียนของน้ำลายลดลง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความเป็นกรด - ด่าง และการทำงานของจุลินทรีย์ในกระเพาะหมักให้ลดลงได้
อาหาร TMR ที่ดีควรมีลักษณะต่อไปนี้
1. มีส่วนของอาหารหยาบและอาหารข้นในสัดส่วนที่เหมาะสม อาหาร TMR ควรประกอบด้วยอาหารหยาบและอาหารข้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม โดยทั่วไปจะแนะนำการผสมในสัดส่วน 60 : 40 ไปจนถึง 50 : 50 (คำนวณจากน้ำหนักแห้ง) โดยขึ้นอยู่กับช่วงการให้ผลผลิตและปริมาณน้ำนมของโคนม
2. คุณภาพของอาหารหยาบ และอาหารข้นต้องมีคุณภาพดี วัตถุดิบต้องสะอาดและมีคุณภาพดี ซึ่งต้องไม่มีการปนเปื้อนจากสิ่งของอื่น ๆ เช่น ไม้, ดิน, ทราย, พลาสติก และต้องไม่มีการปนเปื้อนจากเชื้อราหรือมอด มีความน่ากินเป็นที่สนใจของโคนม โดยเฉพาะอาหารหยาบ ควรเป็นอาหารคุณภาพดี เช่น หญ้าสด หญ้าหมัก หญ้าแห้ง ข้าวโพด หรือข้าวฟ่าง เป็นต้น เนื่องจากอาหารหยาบคุณภาพต่ำ เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด หรือแกลบ จะทำให้การใช้ประโยชน์ได้ของโคนมจากอาหาร TMR ลดลง
3. ขนาดความยาวของอาหารหยาบที่ใช้ผสมควรมีขนาดเหมาะสม ขนาดชิ้นของอาหาร TMR ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป เนื่องจากถ้าขนาดเล็กเกินไป อาหารจะผ่านกระเพาะหมักไปเร็วกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้เวลาในการเคี้ยวเอื้องน้อยลง และส่งผลต่อการย่อยอาหารของโคนม โดยขนาดของอาหารหยาบที่แนะนำควรตัดให้มีขนาดอยู่ระหว่าง 1.5 - 3 เซนติเมตร
4. คุณภาพของอาหารTMRหลังจากผสม ควรควบคุมกระบวนการผสมโดยสังเกตการกระจายตัวของอาหารหยาบและอาหารข้นต้องมีความสม่ำเสมอทั่วถึง ซึ่งจะสามารถทำได้โดยการใช้เครื่องจักรกลสำหรับผสมอาหาร TMR โดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถผสมอาหารที่มีลักษณะทางกายภาพต่างกัน ให้เข้ากัน และมีการกระจายอย่างสม่ำเสมอ
ในด้านของโภชนะของอาหาร TMR ที่ผสมเสร็จแล้ว ควรมีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่สำคัญดังนี้
1) มีระดับโปรตีนไหลผ่านไม่มากเกินไป 30-35% ของโปรตีนทั้งหมด
2) มีเยื่อใยที่เป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์พืช ได้แก่ เฮมิเซลลูโลส เซลลูโลส และลิกนิน อยู่ในช่วง 30-35%
3) มีเยื่อใยที่เป็นส่วนเปลือกแข็งของพืช ได้แก่ เซลลูโลส และลิกนิน อยู่ในช่วง 20-25%
4) มีโภชนะที่ย่อยได้ทั้งหมด ไม่น้อยกว่า 65%
5. การให้อาหารTMRภายในฟาร์มโคนมอาจได้รับโภชนะบางอย่างมากหรือน้อยกว่าความต้องการ โดยเฉพาะพลังงานและโปรตีน ทั้งนี้เนื่องจากการประกอบสูตรอาหาร TMR ใช้ภายในฟาร์มมักใช้เพื่อเลี้ยงโคนมเพียงสูตรเดียว ในขณะที่โคนมในฟาร์มมีความแตกต่างกันมาก เช่น โคนมอยู่ระยะที่แตกต่างกันหรือให้ผลผลิตน้ำนมแตกต่างกัน ดังนั้น โคนมที่มีความต้องการโภชนะน้อยก็จะได้รับโภชนะมากกว่าความต้องการซึ่งอาจทำให้สัตว์อ้วน ในทางกลับกันโคที่ให้ผลผลิตสูงจะได้รับอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เกษตรกรต้องพิจารณษต่อไป
สำหรับวัตถุดิบที่ใช้ประกอบสูตรอาหาร TMR ประกอบด้วย แหล่งอาหารหยาบ ซึ่งแหล่งของอาหารหยาบที่ใช้ควรมีอัตราการย่อยได้สูง มีอัตราการสังเคราะห์จุลินทรีย์โปรตีนสูงกว่าอัตราการผลิตกรดไขมันที่ระเหยได้ นอกจากชนิดของอาหารหยาบแล้ว เกษตรกรต้องพิจารณาถึงการลดขนาดของอาหารหยาบเพื่อเพิ่มปริมาณการกินได้ของโคและลดการเลือกกินอาหาร แต่การลดขนาดของอาหารให้มีขนาดเล็กเกินไปอาจส่งผลต่อระยะเวลาการเคี้ยวเอื้อง การย่อยได้ของอาหารภายในกระเพาะหมัก ซึ่งมีผลทำให้การผลิตไขมันในน้ำนมของโคนมต่ำ แหล่งอาหารข้น ประกอบด้วยแหล่งอาหารโปรตีน เช่น กากถั่วเหลือง กากปาล์ม กากเมล็ดทานตะวัน กากเรปซีด หรือการใช้ใบพืชโปรตีนสูง เช่น ใบกระถินแห้ง ใบมันสำปะหลังแห้ง เป็นต้น แหล่งอาหารพลังงาน เช่น มันเส้น เมล็ดข้าวโพด รำข้าว เมล็ดข้าวฟ่าง เป็นต้น และแหล่งแร่ธาตุ และอื่นๆ โดยแหล่งแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ กระดูกป่น เปลือกหอยป่น เกลือ ไดแคลเซียมฟอสเฟต เป็นต้น ปัจจุบันมีผู้ประกอบการผลิตเป็นแร่ธาตุสำเร็จรูปชนิดต่าง ๆ ให้เกษตรกรสามารถเลือกซื้อมาใช้ในการผลิตอาหาร TMR ได้เช่นเดียวกัน
การเลี้ยงโคนมโดยใช้อาหารTMR ซึ่งเป็นการรวมทั้งอาหารหยาบและอาหารข้น อาหารเสริมแร่ธาตุและวิตามินเข้าด้วยกัน และมีการคำนวณให้อาหารมีโภชนะต่างๆ เพียงพอตามความต้องการของโคนม การให้อาหารแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายต่อการจัดการด้านเวลาและแรงงาน ซึ่งโคนมที่เลี้ยงจะได้รับโภชนะอาหารครบถ้วนและมีสัดส่วนสม่ำเสมอตามความต้องการของโคนม โดยประโยชน์ที่ได้ คือ การควบคุมความเป็นกรด-ด่าง ในกระเพาะหมักมีสภาพเหมาะสมต่อสภาวะนิเวศของการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ทำให้กระเพาะหมักมีการย่อยได้ดีขึ้น อาหารในกระเพาะหมักย่อยได้ดี ทำให้การดูดซึมอาหารไปใช้ประโยชน์ในร่างกายดีขึ้น โคนมสามารถแสดงศักยภาพการให้ผลผลิตได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการป่วยเป็นโรคกรดในกระเพาะหมักกับโคนม อีกทั้งยังช่วยประหยัดแรงงานเกี่ยวกับการจัดการอาหารหยาบและสะดวกในการให้อาหาร
ส่วนวิธีการให้อาหาร TMR นั้น การเปลี่ยนรูปแบบการให้อาหารโคนมภายในฟาร์มจากเดิมที่เป็นการให้แบบแยกสัดส่วน สามารถทำได้โดยค่อยๆ ลดปริมาณการให้อาหารแบบเดิม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผลผลิตน้ำนมของโคนมมากนัก จึงควรแบ่งช่วงระยะการให้อาหารเป็น 2 ระยะ ดังนี้
1. ระยะปรับเปลี่ยนอาหาร เป็นระยะที่โคนมและจุลินทรีย์ในกระเพาะหมักได้ปรับตัวกับอาหารTMR กำหนดให้มีช่วงการปรับเปลี่ยนอาหารอย่างน้อย 3-4 สัปดาห์ โดยเริ่มจากการลดปริมาณการให้อาหารแบบเดิมและทดแทนด้วยการให้อาหารTMRประมาณสัปดาห์ละ 20 เปอร์เซ็นต์
2. ระยะกินอาหารแบบTMR เมื่อโคนมผ่านระยะปรับเปลี่ยนอาหารแล้ว สามารถให้โคนมกินอาหารTMRได้อย่างเต็มที่ ปริมาณการกินอาหารของโคแต่ละตัวไม่ควรต่ำกว่า 30-35 กิโลกรัม/ตัว/วัน หรือไม่น้อยกว่า 6-7 % ของน้ำหนักตัว
การปรับเปลี่ยนอาหารสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม จากการให้อาหารแบบแยกส่วน (อาหารหยาบ อาหารข้น) ไปสู่การให้อาหารผสมครบส่วน (TMR) เพียงอย่างเดียว โดยใช้เวลาปรับเปลี่ยนประมาณ 25 วัน โดย วันที่ 1 – 5 เริ่มปรับโดยให้อาหาร TMR 6 กิโลกรัม อาหารหยาบ 24 กิโลกรัม อาหารข้น 5 กิโลกรัม วันที่ 6 – 10 ปรับการให้อาหาร TMR 15 กิโลกรัม อาหารหยาบ 15 กิโลกรัม อาหารข้น 5 กิโลกรัม วันที่ 11 – 15 เพิ่มการให้อาหาร TMR 24 กิโลกรัม อาหารหยาบ 6 กิโลกรัม อาหารข้น 5 กิโลกรัม วันที่ 16 – 20 เพิ่มการให้อาหาร TMR 30 กิโลกรัม อาหารหยาบ 0 กิโลกรัม อาหารข้น 5 กิโลกรัม วันที่ 21 – 25 ให้อาหาร TMR 30 - 35 กิโลกรัม และค่อยๆ ลดอาหารข้นลง จาก 5 กิโลกรัม เหลือ 4 เหลือ 3 เหลือ 2 เหลือ 1 จนสามารถให้อาหาร TMR 30 – 35 กิโลกรัม เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จากที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่า การใช้อาหาร TMR เป็นประโยชน์ต่อโคนมอย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่บ้างในเรื่องของโภชนะ เนื่องจากการประกอบสูตรอาหารTMR มักใช้เพื่อเลี้ยงโคนมทั่วไป จึงอาจจะทำให้โคนมที่มีความต้องการโภชนะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ได้รับโภชนะมากกว่าความต้องการซึ่งอาจทำให้โคอ้วน และในทางกลับกันโคที่ให้ผลผลิตสูงกว่าค่าเฉลี่ย จะได้รับโภชนะไม่เพียงพอ นอกจากนี้ เกษตรกรผู้ผลิตหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์มักนิยมใช้ของที่บดง่าย เช่น ซังข้าวโพด เปลือกถั่วลิสง หรืออื่นๆ ผสม ซึ่งไม่มีลักษณะเป็นเส้นใย สัตว์จะใช้ประโยชน์ได้น้อยกว่าปกติ ส่วนการใช้กากปาล์มที่มีกะลาปาล์มปนค่อนข้างมากเป็นแหล่งเยื่อใย จะทำให้โคเบื่ออาหารและให้ผลผลิตลดลง อีกทั้งเกษตรกรผู้ผลิตหรือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์มักนิยมผสมยูเรียลงไปเพื่อเพิ่มโปรตีน การได้รับยูเรียมากกว่าวันละ 30 กรัม/น้ำหนักตัว 100 กก. จะทำให้เกิดพิษ ซึ่งจะต้องระวังที่จุดนี้ให้มาก ในทางปฏิบัติ อาหาร TMR ไม่ควรใส่ยูเรียเกิน 1 เปอเซ็นต์ และควรผสมกากน้ำตาลในปริมาณ 5-10% ที่สำคัญคือ การสูญเสียโภชนะระหว่างขบวนการเตรียมอาหาร TMR เช่น การหมัก ซึ่งจะมีการสูญเสียโปรตีนและแป้งในระหว่างกระบวนการหมัก โดยจุลินทรีย์ทำให้สัตว์ได้รับประโยชน์น้อยกว่าที่ประมาณการไว้
ดังนั้น การใช้อาหาร TMR ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน กรมปศุสัตว์มีหน่วยบริการจัดการอาหารสัตว์เคลื่อนที่ เพื่อให้บริการเชิงรุกด้านอาหารสัตว์แก่เกษตรกร โดยเริ่มจากการจัดให้มีฟาร์มต้นแบบ มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการจัดการอาหารสัตว์ที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับการให้คำแนะนำในการประกอบสูตรอาหารสัตว์ที่สามารถเพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิต ตลอดจนเพิ่มผลกำไร สนับสนุนองค์ความรู้และข้อมูลการให้อาหารTMR ให้กับเกษตรกรในทุกพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานที่ให้คำแนะนำในการให้อาหารแบบ TMR คือ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ได้แก่ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ชัยนาท สระแก้ว นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร อำนาจเจริญ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ อุดรธานี เลย หนองคาย นครพนม สกลนคร ร้อยเอ็ด ลำปาง แพร่ เชียงราย เพชรบูรณ์ สุโขทัย พิจิตร เพชรบุรี สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี รวมถึงภาคใต้ เช่น สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง พัทลุง นครศรีธรรมราช นราธิวาส และสตูล เรียกได้ว่ามีครอบคลุมทุกภูมิภาคเลยทีเดียว
หากเกษตรกรผู้ผลิตหรือผู้เลี้ยงสัตว์สนใจ สามารถขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้อาหารผสมครบส่วน TMR โดยติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ใกล้บ้าน หรือสำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์ โทร. 0 2501 1148 หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดใกล้บ้าน
****************************
ที่มาข้อมูล : สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์
เรียบเรียงโดย นางสาวสลิลรัตน์ ชูโชติ นักวิชาการเผยแพร่ชำนาญการ