การปลูกข้าวในกระถางยังเป็นวิธีการที่ง่าย ไม่ต้องไถเตรียมดินเหมือนปลูกในแปลงขนาดใหญ่ ที่สำคัญปีหนึ่งปลูกได้หลายรอบ ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อพื้นที่ของการปลูกข้าวในกระถางสูงกว่าการปลูกในแปลงนากว่าเท่าตัวเลยทีเดียว
“การปลูกข้าวหรือทำนาในกระถาง ก็คือการนำเมล็ดพันธุ์ข้าวหรือกล้าข้าวมาปลูกลงกระถาง คล้ายกับการปลูกไม้ดอกไม้ประดับทั่วไป ซึ่งเป็นวิธีง่าย ๆ ทั้งยังจัดการปัจจัยต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสมกับข้าวได้ไม่ยาก ทำให้ทุกสภาพพื้นที่ปลูกข้าวได้ทั้งยังได้ผลผลิตที่ดี ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ให้สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกข้าวไว้รับประทานเอง
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมืองที่มีพื้นที่ไม่มากนัก หรือมีพื้นที่เป็นคอนกรีต ดาดฟ้า แม้แต่ระเบียงก็ปลูกได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ที่อาศัยอยู่ตามชนบทไม่มีที่นาก็สามารถนำวิธีนี้ไปปลูกข้าวไว้รับประทานเองได้ด้วย”
คุณสังคม บอกว่าตัวเองได้ทดลองปลูกข้าวไรซ์เบอร์รีลงในกระถางขนาดกว้างประมาณ 12 นิ้ว จำนวน 1,600 กระถาง ใช้พื้นที่สำหรับวางประมาณ 4 กระถาง / ตารงเมตร รวมใช้พื้นที่เฉพาะใช้วางกระถางประมาณ 400 ตารางเมตร หรือประมาณ 1 งาน ซึ่งได้ผลผลิตต่อรวงอยู่ที่ประมาณ 300 เมล็ด / รวง หรือกระถางละ 0.8-1 กิโลกรัม ผลผลิตรวมที่ได้ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1,400 กิโลกรัม ถือว่าเป็นผลผลิตที่สูงมากเมื่อเทียบกับขนาดของพื้นที่ที่ใช้ปลูก และใน 1 ปี สามารถปลูกได้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งจะได้ผลผลิตรวมมากถึง 4,200 กิโลกรัมเลยทีเดียว
สำหรับวิธีการทำนาในกระถาง เริ่มจากการเตรียมกระถางที่นำมาใช้ปลูก ซึ่งใช้กระถางพลาสติกปากกว้างประมาณ 12 นิ้ว ราคาอยู่ที่ใบละ 10 บาท เกษตรกรอาจใช้ภาชะอื่นอย่างเช่ง ถัง กะละมัง หรือวัสดุเหลือใช้ที่มีขนาดพอเหมาะไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป มาใช้แทนกระถางก็ได้ ซึ่งก็ช่วยให้ต้นทุนการปลูกข้าวในกระถางลดลง แต่ทว่าจัดการได้ค่อนข้างยากถ้าหากปลูกจำนวนมาก ๆ
ส่วนดินที่นำมาใช้ปลูก ก็ใช้ดินจากพื้นนา แล้วนำมาคลุกเคล้ากับส่วนผสมที่เป็นปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักจุลินทรีย์ (EM) ก็ทำให้ได้ดินที่เหมาะสมกับการใช้ปลูกข้าวในกระถาง ทั้งนี้การใช้น้ำหมักจุลินทรีย์ผสมกับดินปลูก นอกจากช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นข้าวใช้ในการเจริญเติบโตแล้ว ยังช่วยกำจัดวัชพืชอย่าง ตะไคร่ เครือเถาล์ และหญ้าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระถางปลูกได้ด้วย
เนื่องจากน้ำหมักจุลินทรีย์ช่วยป้องกันไม่ให้แสงส่องทะลุถึงผิวดินในกระถาง เมื่อวัชพืชไม่ได้รับแสงจึงไม่มีแหล่งพลังงานจึงเจริญเติบโตไม่ได้
จากนั้นก็ต่อท่อเล็ก ๆ ไว้ที่บริเวณปากกระถางทุกใบสำหรับให้น้ำ ซึ่งก็คล้าย ๆ กับระบบการให้น้ำของพืชทั่วไป ซึ่งช่วยให้การจัดการการให้น้ำทำได้ง่าย หรืออาจใช้วิธีการขุดพื้นให้เป็นร่องลึกประมาณ 1 เมตร และกว้างพอให้พอวางกระถางได้ ซึ่งให้น้ำโดยการปล่อยเข้าไปในร่องจนท่วมกระถาง
การให้น้ำแบบนี้อาจเหมือนการให้น้ำในนาข้าวทั่วไป แต่ทว่ารากข้าวที่อยู่เฉพาะในกระถางก็ทำให้การใส่ปุ๋ยและการดูแลต้นข้าวง่ายและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้บริเวณสันร่องยังใช้ปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ได้ เป็นการทำการเกษตรแบบผสมผสาน และไม่ต้องกังวลว่าพืชที่ปลูกนั้นจะมาแย่งธาตุอาหารของต้นข้าวด้วย
“ก่อนเริ่มปลูกข้าว เราให้น้ำจนเต็มกระถาง แต่ก่อนที่เริ่มปลูกควรรอให้ตะไคร่ในกระถางตายให้หมดเสียก่อนถึงนำข้าวมาปลูกลงกระถางได้ ส่วนข้าวที่นำมาปลูกสามารถทำได้สองรูปแบบคือ นำเมล็ดข้าวเปลือกที่แช่น้ำพร้อมงอกแล้วมาปลูกในกระถาง โดยทำหลุมปลูกในกระถางจำนวน 3 หลุม ห่างกันพอประมาณ แต่ละหลุ่มใช้เมล็ดพันธุ์จำนวน 3 เมล็ด หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือ เพาะกล้าในถาดเพาะเสียก่อน โดยใช้เมล็ดพันธุ์จำนวน 3 เมล็ด / หลุม เมื่อต้นกล้าอายุได้ประมาณ 10-15 วัน ก็ย้ายมาปลูกในกระถาง จำนวน 3 ต้น / กระถางเช่นกัน”
สำหรับการจัดการดูแลหลังการปลูก ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจากการปลูกในแปลงนามากนัก มีการเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นข้าวโดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเม็ด ทยอยให้ครั้งละน้อย ๆ โดยดูจากความสมบูรณ์ของต้นและใบ เช่นใบข้าวมีอาการขาดสารอาหาร ใบเหลืองก็เสริมปุ๋ยอินทรีย์เข้าไป ซึ่งตลอดช่วงการปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต เฉลี่ยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ประมาณ 1 กำมือต่อกระถาง ระหว่างนี้หากพบวัชพืชขึ้นในกระถางก็กำจัดหรือถอนออก เมื่อครบกำหนดข้าวตั้งท้อง ออกร่วงและให้ผลผลิต ซึ่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตทำได้โดยการเกี่ยวเหมือนข้าวทั่วไป แต่จะง่ายกว่าเนื่องจากข้าวแยกกออยู่ในกระถาง ทำให้เข้าถึงได้ง่าย
แหล่งที่มา : ดร.สมชาย ฐานเจริญ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง : www.facebook.com/farmlandthai