สาวเมืองเลยคิดต่าง แปรรูปดาวเรืองราคาที่ตกต่ำ เป็นชาดอกไม้ สร้างมูลค่าเพิ่มจากเดิมได้เท่าตัว
5 พ.ย. 2568
121
0
สาวเมืองเลยคิดต่าง
สาวเมืองเลยคิดต่าง แปรรูปดาวเรืองราคาที่ตกต่ำ เป็นชาดอกไม้ สร้างมูลค่าเพิ่มจากเดิมได้เท่าตัว

สาวเมืองเลยคิดต่าง แปรรูปดาวเรืองราคาที่ตกต่ำ เป็นชาดอกไม้ สร้างมูลค่าเพิ่มจากเดิมได้เท่าตัว     02 ตุลาคม 2568    ธาวิดา ศิริสัมพันธ์

     “ดาวเรือง” จัดเป็นไม้ดอกที่มีความผันผวนทางด้านราคาค่อนข้างสูง หากปีไหนความต้องการมากแต่ผลผลิตน้อยเกษตรกรก็ยังพอยิ้มออกหน่อย เพราะราคาจะดีดขึ้นไปสูงถึงดอกละ 2.50-3 บาท แต่หากช่วงไหนผลผลิตล้นตลาด ราคาจะร่วงลงมา ชนิดที่ว่าคนปลูกก็ร่วงลงมาตามกันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เกษตรกรควรที่จะเริ่มหาทางออกให้ตัวเอง ด้วยการนำผลผลิตที่มีอยู่นำมาแปรรูป เนื่องจากได้มีงานวิจัยจากออกมาว่า “ดอกดาวเรือง” ไม่ได้มีดีแค่นำมาร้อยพวงมาลัยหรือจัดแจกันไหว้พระเพียงเท่านั้น แต่ยังมีสารสำคัญที่มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตาและบำรุงผิวพรรณได้อีกด้วย

     คุณนฤดี ทองวัตร หรือ พี่อุ๋ม อยู่บ้านเลขที่ 89 หมู่ที่ 8 ตำบลหนองบัว อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เกษตรกรนักสู้ ผิดหวังกับการปลูกดาวเรืองแบบขายดอกสด พลิกวิกฤตเปลี่ยนเส้นทางการตลาดหันทำชาดอกดาวเรืองขาย สร้างมูลค่าเพิ่มจากเดิมได้กว่าครึ่ง

     พี่อุ๋ม เล่าถึงจุดเริ่มต้นการแปรรูปชาดอกดาวเรืองว่า ตนเองประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรปลูกดาวเรืองมานานกว่า 13 ปี แต่ช่วงหลายปีหลังมานี้ต้องประสบกับปัญหาด้านการตลาดมาอย่างต่อเนื่อง เกิดความไม่แน่นอนในชีวิต เป็นเหตุให้ต้องตัดสินใจลองเปลี่ยนวิธีการสร้างรายได้แบบใหม่เกิดขึ้น ด้วยการพยายามมองหาจุดเด่นสำคัญของดอกดาวเรือง จนได้ค้นพบว่าดอกดาวเรืองมีสารสำคัญที่ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณได้ และได้ต่อยอดจากจุดเด่นตรงนี้หันมาทดลองแปรรูปดาวเรืองทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพราะมองว่ากระแสรักสุขภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคตมีแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเบนเข็มจากการขายดอกสดเปลี่ยนมาทำชาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี   ด้วยการทดลองปลูกดาวเรืองในโรงเรือน ซึ่งข้อแตกต่างของการปลูกดาวเรืองแบบนอกโรงเรือนกับในโรงเรือนนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สาเหตุที่ต้องแยกกันปลูกนั้น เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ของการนำดอกไปใช้ที่แตกต่างกัน

      “เมื่อก่อนเราปลูกดอกดาวเรืองแบบนอกโรงเรือนเพื่อส่งให้แม่ค้าสำหรับร้อยพวงมาลัย แต่ช่วงหลายปีมานี้ดอกดาวเรืองราคาไม่ค่อยดีนัก เราจึงลองทดลองหันมาปลูกดาวเรืองในโรงเรือนเพื่อการนำไปบริโภค ทำเครื่องดื่ม ชาดอกดาวเรือง หรือทำสารสกัดจากดอกดาวเรืองเพื่อไว้ใช้ทำเวชสำอาง จึงต้องแยกปลูกในโรงเรือนเพื่อให้ปลอดภัยจากสารเคมีทุกชนิด และนอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มแสงสีแดงให้กับดาวเรือง เพื่อให้ได้สำคัญเพิ่มขึ้นอีกด้วย”

ปลูกดาวเรืองในโรงเรือนด้วยเทคนิคการเพิ่มแสง
     เจ้าของบอกว่า เทคนิคการปลูกดาวเรืองเพื่อนำมาแปรรูปเป็นเครื่องดื่ม หรือปลูกเพื่อสกัดเอาสารสำคัญนั้น ขั้นตอนการปลูกไม่แตกต่างกันมากนัก สำคัญที่ความพิถีพิถันและความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก จำเป็นต้องปลูกในโรงเรือนเพื่อหลีกเลี่ยงจากสารเคมีทุกชนิด เพราะว่าด้วยตัวของดอกดาวเรืองเอง เป็นพืชที่ค่อนข้างดูดซับสารพิษในดินเข้ามาไว้ในตัว อย่างเช่น ถ้าปลูกในดินที่ผ่านการใช้ยาฆ่าหญ้าหรือยาฆ่าแมลงแล้วตกค้างในดิน ตัวดอกดาวเรืองมีคุณสมบัติในดูดซับสารเหล่านี้เข้ามาในต้น โดยจะดูดซับไว้ที่ส่วนรากมากที่สุด และอาจจะกระจายสู่ดอกได้ด้วย ฉะนั้น การปลูกในโรงเรือนถือเป็นวิธีที่ช่วยหลีกเลี่ยงสารเคมีได้ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนคือจะต้องปลูกในถุง และต้องเป็นดินที่ไม่ได้ผ่านการใช้สารเคมีใดๆ มาก่อน ซึ่งอาจจะดูยุ่งยากไปสักหน่อย แต่การปลูกดาวเรืองเพื่อทำเครื่องดื่มชา มีข้อดีตรงที่ไม่จำเป็นต้องทำให้ดอกสวย 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะต้องตัดเพื่อนำมาอบอยู่แล้ว มีแมลงกัดหรือนอนเจาะได้บ้าง

การรดน้ำ เหมือนกับการปลูกดาวเรืองนอกโรงเรือนทั่วไป ช่วงย้ายปลูก ประมาณ 7 วัน ให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เมื่อต้นกล้าตั้งตัวได้ดี รดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้าและในช่วงที่ดอกบาน ไม่ควรรดน้ำให้โดนดอก เพื่อป้องกันดอกเป็นโรค ดาวเรืองเป็นพืชที่ชอบการให้น้ำในลักษณะให้น้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หรือชอบชื้นแต่ไม่ชอบแฉะ และน้ำท่วมขัง 

เทคนิคสำคัญ “เปิดไฟให้พืช” โดยเทคนิคการเปิดไฟให้ดาวเรืองนี้เกิดขึ้นจากความอยากรู้ของตนเอง จึงได้มีการค้นคว้าข้อมูลงานวิจัยต่างๆ เกี่ยวกับการเจริญเติบโตของพืช จนกระทั่งได้ไปเจอกับงานวิจัยของ ดร.เบญญา มะโนชัย ท่านเป็นอาจารย์สอนภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีการวิจัยเทคนิคปลูกดาวเรืองสำหรับสกัดลูทีน แล้วเกิดความสนใจจึงได้มีการเรียนเชิญให้ท่านมาเป็นที่ปรึกษาในครั้งนี้ ซึ่งได้มีการทดลองใหม่ทั้งหมด ด้วยการเก็บดอกดาวเรืองที่ปลูกทั้งในและนอกโรงเรือน และการปลูกแบบเปิดไฟและไม่เปิดไฟ จะมีสารสำคัญต่างกันหรือไม่ ซึ่งผลการทดลองออกมาว่าการปลูกแบบเปิดไฟ ผลวิเคราะห์ออกมาว่ามีสารสำคัญในดอกสูงกว่าแบบอื่นอย่างมีนัยยะ

โดยเทคนิคการใช้แสงไฟเพื่อรักษาสารสำคัญในดาวเรืองนั้น จะเริ่มเปิดไฟตั้งแต่ช่วงที่ดาวเรืองมีตาดอกแล้ว ก็คือหลังจากปลูกได้ 45 วันขึ้นไป โดยช่วงระยะเวลาการเปิดจะแบ่งเปิดเป็น 2 ช่วง คือ 1. เปิดในช่วงเช้า ตี 4 ถึง 7 โมงเช้า และช่วงเย็น 5 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม เปิดไปจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

ผลผลิต ปลูกในโรงเรือนจะให้ดอกดกกว่า และมีอายุการเก็บเกี่ยวได้นานกว่า เช่น ปลูกนอกโรงเรือนมีอายุเก็บเกี่ยวได้ 1 เดือน แต่ถ้าปลูกในโรงเรือนสามารถยืดระยะเวลาออกไปได้เป็นเดือนครึ่ง และดอกจะมีความสมบูรณ์แข็งแรงกว่าด้วย

เทคนิคการแปรรูป “ชาดอกดาวเรือง”

     พี่อุ๋ม บอกว่า สำหรับการแปรรูปดอกดาวเรือง ตนเองทำมาเป็นระยะเวลากว่า 4 ปีแล้ว โดยในปีแรกจะเน้นการนำดอกที่ปลูกนอกโรงเรือนมาทำเป็นสีย้อมผ้าเพราะทำได้ง่าย แต่เมื่อทำไปได้สักพักก็ได้ทราบถึงปัญหาว่าด้วยความที่เป็นสีจากธรรมชาติ ลูกค้าบางคนไม่เข้าใจว่าสีธรรมชาติสามารถตกได้ ซีดได้เมื่อซักบ่อยๆ ทำให้ตลาดแคบลง จึงได้เริ่มต้นที่จะแปรรูปสินค้าตัวใหม่ออกมาคือชาดอกดาวเรือง เมื่อทำออกมาแล้วถือว่าได้ผลตอบรับที่ดีมากๆ กระแสดีมาตลอดแม้จะเกิดวิกฤตโควิด-19 ชาก็ยังขายได้ดี เนื่องจากกระแสรักสุขภาพยังมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น อะไรก็ช่างที่เป็นธรรมชาติ บริโภคเข้าไปแล้วเข้าไปช่วยฟื้นฟูและรักษาสุขภาพให้ดีขึ้นก็ได้รับความสนใจของตลาด

ขั้นตอนการแปรรูป

     จะเก็บเกี่ยวดอกดาวเรืองที่บานเต็มที่ นำมาตัดเอาเฉพาะกลีบดอก ไม่ให้ติดเกสรออกมา เนื่องจากตรงส่วนของเกสรจะทำให้มีกลิ่นฉุน เหมือนที่เวลาได้กลิ่นของดอกดาวเรือง จริงๆ แล้วได้กลิ่นจากเกสร ไม่ใช่กลีบ และนอกจากนี้ ยังมีผลทดสอบออกมาว่าในกรณีผู้ที่แพ้ดอกดาวเรืองส่วนใหญ่จะแพ้เกสร คือส่วนที่เห็นเป็นเม็ดดำๆ

     เมื่อตัดกลีบดอกเสร็จ ให้นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปผึ่งลมให้แห้ง ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี หรือจะใช้วิธีอบก็ได้ ในกรณีถ้าเป็นตู้อบลมร้อนทั่วไปควรจัดเรียงไม่ให้กลีบดอกทับกันหนาเกิน 3 เซนติเมตร และอบในอุณหภูมิ 45-50 องศาเซลเซียส ไม่ให้เกินนี้ ใช้เวลาอบประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นนำมาบรรจุใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ เตรียมจำหน่าย

หมายเหตุ ดอกดาวเรืองสดจำนวน 1 กิโลกรัม เมื่อนำมาอบเป็นชาแล้วจะได้ประมาณ 100 กรัม

สรรพคุณ ดอกดาวเรืองมีสารแซนโทฟิลล์ (Xanthophyll) ซึ่งเป็นแคโรทีนอยด์ (สารต้านอนุมูลอิสระ) ชนิดหนึ่ง โดยมีส่วนประกอบเป็นโมเลกุลที่มีออกซิเจน อันได้แก่ ลูทีนและซีแซนธิน ซึ่งจัดว่าเป็นสารบำรุงสายตาจากพืชมีสี โดยทั้งสองสารนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตาได้ ช่วยกรองแสงสีฟ้า และยังเป็นสารออกซิเดชั่น ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่จะทำลายประสิทธิภาพการทำงานของจอประสาทตา โดยการนำเอาสารบำรุงสายตาจากดอกดาวเรืองมาใช้ แนะนำให้ชงเป็นชาดื่ม 1 หยิบมือต่อน้ำร้อน 1 แก้วกาแฟ เท่านี้ก็จะได้รับสารบำรุงสายตาที่ซ่อนอยู่ในดอกดาวเรืองแล้ว

การสร้างมูลค่า

ในเรื่องของราคาแน่นอนว่ามีความแตกต่างกันอยู่แล้ว เพราะปริมาณชาดอกดาวเรือง 10 กิโลกรัม ขายในราคา 2,500-3,000 บาท ต่างจากการขายดอกสด 10 กิโลกรัม จะได้เงินประมาณ 300 บาท แต่ในแง่ของกระบวนการแปรรูปย่อมมีค่าใช้จ่ายส่วนอื่นที่เพิ่มขึ้นมา แต่ยังไงรายได้ก็สูงอยู่ และอีกข้อดีของการแปรรูปทำชาคือสามารถเก็บไว้จำหน่ายได้นานเป็นปี ต่างจากลักษณะของดอกสด ถ้าผ่านไปสัก 3-5 วัน จะกลายเป็นขยะทันที

รายได้ ดีขึ้นกว่าตอนปลูกแบบเดิม และจะยิ่งดีขึ้นไปอีกหากไม่เกิดสถานการณ์โควิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากกระแสของชาดอกไม้มาดีอยู่แล้ว และคนทำยังไม่มาก ยังถือเป็นสินค้าใหม่สำหรับประเทศไทย ชาดอกไม้ตลาดยังไม่ได้กว้าง แต่ทางกลับกันคู่แข่งทางการตลาดก็น้อยเช่นกัน ถือว่ามองว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับตนเองและเกษตรกรท่านอื่นๆ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนกว่า 50 เปอร์เซ็นต์

ตลาด ตอนนี้เป็นกลุ่มลูกค้าร้านชาต่างๆ 1. กลุ่ม “ชาเบลนด์” คือ การนำสมุนไพร ผลไม้ หรือดอกไม้อบแห้งตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ผสมลงไปในขั้นตอนการชงชา 2. กลุ่มชาเพื่อสุขภาพ และได้ลูกค้าเพิ่มจากการบอกกันปากต่อปาก ซึ่งร้านชาที่มีชื่อเสียงหลายๆ ร้าน ก็ใช้ชาของที่นี่เป็นวัตถุดิบหลัก มีทั้งลูกค้าจากกรุงเทพฯ เชียงใหม่ หรือภาคใต้ก็มี ร้านเบนชาที่มีชื่อเสียงหลายๆ ร้านก็ใช้ชาของเราเป็นวัตถุดิบผสม มีทั้งกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภาคใต้ ก็มี 3. วางขายหน้าร้านกลุ่มวิสาหกิจชุมชนดาวเรืองภูเรือ 4. ผ่านออนไลน์ “ช้อปปี้ (Shopee)” และ 5. เพจเฟซบุ๊ก ดีธรรมดา

ที่มา : เว็บไซต์เทคโนโลยีชาวบ้าน 

ตกลง