กลไกการเข้าทำลายแมลงของ ไวต์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์
ไวต์ออยล์และปิโตเลียมออยล์ออกฤทธิ์ทางกายภาพต่อตัวแมลงโดยตรง ส่งผลให้แมลงไม่สามารถสร้างกลไกการดื้อยาได้ โดยสามารถนำไปใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้ ดังนี้
1. เป็นสารที่ทำลายแมลงทางกายภาพ (Physical poison) กลไกการออกฤทธิ์จะไปขัดขวางหรืออุดรูหายใจ(Suffocation) และดูดความชื้น (Desiccation) ในตัวแมลงทำให้แมลงตาย นอกจากนี้ยังไปชะล้างไขมันที่ผนังลำตัวของแมลงบางชนิด เช่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย ไรแดง รวมทั้งไปเคลือบไข่ของแมลงทำให้ไข่ไม่ฟัก
2. มีผลต่อพฤติกรรมการวางไข่ของแมลง การพ่นสารไวต์ออยล์หรือปิโตรเลียมออยล์จะทำให้พืชมีกลิ่นเปลี่ยนไป ส่งผลให้ผีเสื้อเพศเมียวางไข่น้อยลง เช่น กรณีของแมลงวันทองพริก ลดการวางไข่เนื่องจากผิวของผลพริกเคลือบด้วยไขมัน ทำให้การลดการทำลายของแมลงวันทองในพริกได้
3. ใช้ในลักษณะของสารเสริมประสิทธิภาพ (Adjuvants) จากงานวิจัยพบว่าการใช้สารกลุ่มนีโอนิโคตินอยด์ (อิมิดาโคลพริด ไทอะมีโทแซม โคลไทอะนิดิน ไดโนทีฟูแรน) ผสมกับไวต์ออยล์ มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในการป้องกันกำจัดแมลงได้ดีขึ้น โดยสารในกลุ่มน้ำมันจะช่วยเสริมหรือเพิ่มฤทธิ์ของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช ส่งเสริมให้สารเกาะยึดติด หรือกระจายตัว และแทรกซึมผ่านชั้นไขมันของใบพืชโดยเฉพาะการใช้สารที่ออกฤทธิ์ดูดซึม นอกจากนี้มีรายงานว่าสารกลุ่มน้ำมันจะช่วยยืดอายุทำให้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอยู่ได้นานขึ้น เนื่องจากจะช่วยชะลอการระเหยตัว ป้องกันแสงแดด และป้องกันการชะล้างจากฝน อัตราที่ใช้สำหรับผสมสารเคมีอื่น อยู่ที่อัตรา 20 – 50 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร
4.การใช้เป็นสารป้องกันกำจัดแมลงและไรศัตรูพืชโดยตรง สำหรับไวต์ออยล์ และปิโตรเลียมออยล์ มีงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรว่าสามารถใช้ป้องกันกำจัดแมลงจำพวกปากดูดหลายชนิด เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ เพลี้ยหอย เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไก่แจ้ส้ม แมลงปากกัดหลายชนิด เช่น หนอนชอนใบส้ม รวมทั้งไรแดงในส้ม และทุเรียน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าป้องกันกำจัดโรคพืชบางชนิดได้ เช่น โรคราแป้ง โรคราดำ เป็นต้น สำหรับอัตราการใช้แบบสารเดี่ยวอยู่ที่อัตรา 50 – 150 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ขึ้นกับชนิดพืช และศัตรูพืช
5. การใช้ฉีดพ่นเคลือบใบพืชกรณีใบพืชมีอาการไหม้จากการโดนแสงแดดแผดเผา (Sunburn) โดยฉพาะแสงแดดในประเทศไทยที่มีรังสีอัลตราไวโอเลต (UltraViolet) หรือที่เรียกย่อว่า UV ในปริมาณที่สูงมาก ลักษณะเหมือนการทาครีมป้องกันแดดของสาว ๆ เวลาออกนอกบ้าน
ข้อควรระวัง
1.การใช้สารไวต์ออยล์และปิโตรเลียมออยล์ ไม่ควรใช้ผสมกับสารเคมีสังเคราะห์ที่มีสูตรผสมเป็นน้ำมัน โดยเฉพาะสูตรผสมที่ลงท้ายด้วย EC เนื่องจากอาจเกิดความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity)
2. ไม่ควรใช้ความเข้มข้นเกินอัตราที่แนะนำ หรือผสมสารที่มีส่วนผสมของคอปเปอร์ หรือซัลเฟอร์(กำมะถัน) สารโพรพาไกต์ เนื่องจากอาจเกิดความเป็นพิษต่อพืช (Phytotoxicity)
3. ไม่ควรใช้ในช่วงสภาพอากาศแบบฟ้าปิด หรือฝนจะตก เนื่องจากจะทำให้น้ำมันที่เคลือบผิวใบระเหยช้า ปิดปากใบพืช พืชคายน้ำไม่ได้ ใบเหี่ยวเฉา หรือเกิดการสะสมในพืชทำให้เกิดความเป็นพิษต่อพืชได้
เรียบเรียงโดย อิทธิพล ยอดโค้น
ข้อมูลจาก กรมส่งเสริมการเกษตร,กรมวิชาการเกษตร,อาจารย์สุเทพ สหายา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดพิษณุโลก