ผักโขม หรือผักขม หรือผักโหม เป็นพืชที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นก่อนๆ พยายามวิจัยถึงคุณค่าทางอาหาร ดอกมีปริมาณกรดอะมิโนมากกว่าธัญพืชหลักอื่นๆ ใบใช้รับประทานเป็นผักสีเขียว ยังมีอีกหลายประเทศศึกษาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิโก อินเดีย สหรัฐอเมริกา
ในเมืองไทยเราถือว่า ผักโขมเป็นพืชพื้นบ้านของเรา มีหลายชนิด เช่น ผักโขมหนาม ผักโขมหิน ผักโขมหัด ผักโขมสวน ผักโขมเกลี้ยง
ผักโขมเป็นพืชที่ให้สารวิตามินเอแก่ร่างกายเช่นเดียวกับฟักทอง ผักบุ้ง พริกชี้ฟ้า มีรสขมเล็กน้อย มีสรรพคุณแก้เลือดเป็นพิษ ดีพิการ เพ้อคลั่ง เหมาะสำหรับคนที่มีธาตุน้ำเป็นเจ้าเรือน
สรรพคุณทางยา ใบใช้รักษาแผลพุพอง
ต้นแก้อาการแน่นหน้าอกและหอบ
รากปรุงเป็นยาช่วยดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ขับถ่ายปัสสาวะ แก้คัน แก้เสมหะ
เป็นผักที่คนไทยนิยมรับประทานมานานทั่วทุกภาค ต้ม ผัด แกง ทอด หลากหลายเมนู
ผักโขม มีกรดอะมิโนมากถึง 30 ชนิด มีสารเบต้า-แคโรทีน ช่วยต้านอนุมูลอิสระตัวก่อมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม
ตัววิตามินซีมีมากช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยสร้างคอลลาเจน บำรุงผิวพรรณผุดผ่อง มีสารซาโปนิน ช่วยลดคอเลสเตอรอล และที่สำคัญมีไฟเบอร์ ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ป้องกันการเกิดมะเร็งในกระเพาะได้เป็นอย่างดี
มีข้อดีเยอะๆ ก็มีข้อเสียเหมือนกัน รับประทานมากๆ ไม่ดีแน่ ผักโขมมีกรดออกซาลิก Oxalate ขัดขวางการดูดซึมธาตุแคลเซียม ผู้ที่กำลังรับประทานบำรุงเสริมแคลเซียมอยู่ไม่ควรรับประทานผักโขม ผักปวยเล้ง จะทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมลดลง มีโอกาสไม่ดูดซึม ทำให้เกิดนิ่วได้ ผู้ที่มีปัญหาเรื่องนิ่ว เก๊าต์ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรหลีกเลี่ยงการกินผักโขมในปริมาณที่มาก และควรทำให้สุกก่อนรับประทาน เพราะจะเป็นการลดปริมาณกรดออกซาลิกได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : เทคโนโลยีชาวบ้าน