กระเจี๊ยบเขียว (Okra)
ถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ทวีปแอฟริกา แต่มีการนำไปปลูกและแพร่กระจายพันธุ์ไปทั่วโลก ในประเทศไทยก็นำไปปลูกทั่วประเทศ จนมีชื่อเรียกหลากหลายตามภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นกระเจี๊ยบมอญ มะเขือมอญ มะเขือมื่น ฯลฯ นิยมนำมาทำอาหาร เช่น แกงส้ม แกงเลียง ง่ายที่สุดคือลวกเป็นเครื่องเคียงไว้กินกับน้ำพริกก็ได้เช่นกัน
นอกจากความอร่อย กระเจี๊ยบเขียว ยังมีสรรพคุณเพียบ! ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยลดน้ำหนักและไขมันในเลือดได้ดี
ด้านราคารับซื้อ แม้ไม่หวานเจี๊ยบสมชื่อ อยู่ที่หลักสิบยี่สิบต่อกิโลกรัม แต่ผลผลินตไร่หนึ่งอยู่ประมาณ 2,000-3,000 กก. บวกลบคูณหารแล้วน่าสนใจไม่หยอก
วิธีปลูก มีดังนี้
1 เตรียมดิน ควรวางแผนปลูกในฤดูฝนจะดีที่สุด เริ่มจากการไถกลบหน้าดิน 2 ครั้ง ครั้งแรกไถแล้วตากทิ้งไว้ 7-10 วัน ครั้งที่สองให้หว่านปูนขาว 80 กก. เพื่อปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในดิน และใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 อัตราส่วน 35 กก.ต่อไร่ จากนั้นไถกลบเป็นครั้งที่สอง
2 เตรียมเมล็ด พันธุ์โดยแช่เมล็ดในน้ำยาฆ่าเชื้อราจำพวกสารเบนโดมิน อัตราส่วน 10 กรัมต่อเมล็ด 1 กก. นาน 30-40 นาที ก่อนนำไปหยอดหรือหว่าน หากปลูกลงหลุมหรือทำเป็นร่องปลูก ควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นและแถวปลูก ประมาณ 50x50 เซนติเมตร
3 การให้ปุ๋ย สำหรับกระเจี๊ยบที่มีอายุการปลูกสั้น 40-50 วันใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-24 จำนวน 30 กก.ต่อไร่ หลังการปลูกไปแล้ว 20-30 วัน ส่วนกระเจี๊ยบที่มีอายุการปลูกนานให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในช่วงแรก เมื่อออกดอกให้ตามด้วยปุ๋ยสูตร 12-12-24 อีกครั้ง การใส่ปุ๋ยให้กระเจี๊ยบเขียวไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เนื่องจากกระเจี๊ยบเขียวเป็นพืชที่สามารถดูดธาตุดังกล่าวได้ดีอยู่แล้ว หากใส่ปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ฝักโตเร็วเกินความพอดี และก่อให้เกิดโรคได้ง่าย
4 การเก็บผลผลิต ทำได้ใน 2 เดือน กระเจี๊ยบเขียวส่วนใหญ่ติดดอกหลังจากลงแปลงปลูกได้เพียง 40-45 วัน หลังจากนั้น 15 วัน กลีบดอกจะร่วงผลัดเป็นฝักสีเขียวสวย ฝักกระเจี๊ยบเขียวมีขนาด 7-12 เซนติเมตร และสามารถเพิ่มขนาดได้วันละ 1-3 เซนติเมตร ยิ่งวันที่มีแสงแดดมากจะขยายได้เร็วเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวไปรับประทานหรือจำหน่ายได้ทุกวัน