ภาคการเกษตรไทยยังคงผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรขั้นต้น คิดเป็น 87.7% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งหากยังดำเนินกลยุทธ์โดยการผลิตและค้าขายสินค้าเกษตรขั้นต้นต่อไป ในขณะที่ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดิน น้ำ แร่ธาตุในดิน และขนาดของพื้นที่เกษตรลดน้อยถอยลง ประกอบกับภัยพิบัติที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มความถี่และความรุนแรงมากขึ้น ประเทศไทยจะมีกำไรสุทธิต่อหน่วยที่ลดลง ทำให้ในบางช่วงที่ประสบภัยพิบัติธรรมชาติ หรือกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจ อาจเกิดภาวะขาดทุนและเกษตรกรไม่สามารถแบกรับความเสี่ยงดังกล่าวได้
เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทยให้สามารถรับมือความเสี่ยง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การนำของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอแนวทางเพื่อสร้างและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ดีกว่า โดยหนึ่งในทางเลือกและเป็นทางรอด นั่นคือการปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนจากการทำเกษตรรูปแบบเดิม ไปสู่ ‘การทำเกษตรมูลค่าสูง’ ด้วยการทำเกษตรแบบประณีตหรือเกษตรแม่นยำสูง ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีหมุนเวียน เพื่อยกระดับการผลิตและคุณค่าเป็นสินค้าเกษตรโภชนาการสูง ตลอดจนเพื่อใช้ประโยชน์ด้านวัสดุชีวภาพ ด้านเภสัชกรรม ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ส่งผลต่อรายได้สุทธิที่ดีกว่าเดิม เกิดความคุ้มค่าการลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก
ทั้งนี้ ปัจจัยความสำเร็จพื้นฐานที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตลอดห่วงโซ่อุปทาน ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการผลิตสินค้าเกษตรและแปรรูป ประกอบด้วย
1) การปรับเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Improve Productivity) พร้อมกับการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพ
ของฟาร์มตนเองอยู่เสมอ
2) การใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (Science Technology and Innovation)
3) การบริหารทางการเงินและบัญชี การลงทุนในตลาดทุน (Financial and Accounting Management, Equity Investment)
4) การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Logistics Supply Chain Management)
5) การจัดการข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Management and Data Analytics)
6) การบริหารการประหยัดต่อขนาด และการบริหารความมั่นคงวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทาน (Economic of Scale and supply Chain Security)
7) การบริหารหน่วยผลิตให้บรรลุเป้าหมายการหมุนเวียน และยั่งยืน (พลังงาน น้ำ ของเสีย Co2) (Circular and Sustainable Business Model : Lean and Clean Factory/Energy)
การบริหารจัดการองค์ความรู้ การปรับตัวให้เหมาะสมกับปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งสามารถพลิกฟื้นจากปัญหาได้เร็วและดีกว่าเดิม (Knowledge Management and Adaptation & Resilience) มุ่งสู่ ESG : Environmental, social, corporate governance
แนวทางข้างต้นสอดคล้องกับ ‘โครงการสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง 1 ท้องถิ่น 1 สินค้าเกษตรมูลค่าสูง’ ซึ่งมีเป้าหมายดำเนินการพัฒนาแปลงต้นแบบเกษตรมูลค่าสูง 500 ตำบล ภายในปี 2570 โดยในปี 2567 มีเป้าหมายกลุ่มแปลงใหญ่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 46 กลุ่ม จาก 46 ตำบล 43 อำเภอ และ 26 จังหวัด ใน 14 ชนิดพืช
ตัวอย่างแปลงเกษตรที่พัฒนาสู่การเป็นเกษตรมูลค่าสูง ที่นครพนมคือ
"วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปลงใหญ่ข้าวอินทรีย์โพนสวรรค์" จ.นครพนม กลุ่มแปลงใหญ่ที่มีความเข้มแข็งและประสบความสำเร็จในการผลิตข้าวอินทรีย์นอกเขตชลประทาน ที่เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 มีเกษตรกรสมาชิก 63 ราย พื้นที่ปลูกรวม 996 ไร่
“มีการปลูกข้าวหอมมะลิอินทรีย์ 105 ผ่านการรับรองรองมาตรฐาน GAP ที่สำคัญกลุ่มแปลงใหญ่ได้มีการทำข้อตกลงซื้อขายผลผลิต (MOU) กับสหกรณ์ชุมชนเกษตรอินทรีย์นครพนม จำกัด ให้เป็นผู้รวบรวมผลผลิตส่งต่อไปยังสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ร้อยเอ็ด จำกัด ซึ่งเป็นตลาดรับซื้อข้าวอินทรีย์ที่ได้รับรองมาตรฐานอินทรีย์สากล ทั้ง Japanese Agricultural standards (JAS) ของประเทศญี่ปุ่น, National Organic Program (NOP) ของประเทศสหรัฐอเมริกา และ European Unity (EU) ของสหภาพยุโรป เพื่อส่งออกข้าวอินทรีย์ไปยังตลาดต่างประเทศ”
การประชุมครม.สัญจร 28 - 29 เมษายน 2568 ที่จังหวัดนครพนม การพัฒนาเกษตรกร สู่การผลิตสินค้าเกษตร เป็นสินค้าเกษตรมูลค่าสูง เป็นอีกประเด็นที่รัฐบาลจะมีการหารือและพัฒนา โดยจังหวัดนครพนมและมุกดาหาร ถือว่า มีกลุ่มเกษตรกรที่เข้มแข็ง และดำเนินการผลิตตามแนวทางของเกษตรมูลค่าสูงหลายกลุ่ม ซึ่งเป็นแนวทางที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ที่มา : สำนักงานประชาสัมพันธ์ที่ 2