แจ้งเตือนศัตรูพืชระบาด “หนอนใยผักในพืชตระกูลกะหล่ำ (diamondback moth)”
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564
เตือนเกษตรกรผู้ปลูกพืชผักตระกูลกะหล่ำ (กะหล่ำปลี คะน้ำ ผักกาดขาวปลี กะหล่ำดอก ผักกาดเขียวปลี) ในทั่วทุกภาคของประเทศไทย ระวังการระบาดของหนอนใยผักทุกระยะการเจริญเติบโต เนื่องจากในช่วงนี้สภาพอากาศเหมาะต่อการการระบาดของหนอนใยผัก ดังนั้น ขอให้เกษตรกรหมั่นสำรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอเมื่อเริ่มพบการทำลายของหนอนใยผัก ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือสำนักงานเกษตรจังหวัดเพื่อหาทางควบคุม และป้องกันกำจัดก่อนเกิดการระบาดรุนแรง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plutella xylostella (Linnaeus)
วงศ์ : Yponomeutidae
อันดับ : Lepidoptera
ลักษณะอาการและการเข้าทำลาย
หนอนใยผักเมื่อฟักออกมาจากไข่ใหม่ๆ ตัวหนอนจะแทะกินผิวใบด้านล่างเป็นวงกว้างและมักทิ้งผิวใบด้านบน ซึ่งมีลักษณะโปร่งแสงเอาไว้ หากมีการระบาดรุนแรงหนอนใยผักจะกัดกินใบจนเป็นรูพรุนเหลือแต่ก้านใบ หรือถ้ำเกิดกับผักในระยะต้นอ่อน หนอนจะกัดทำลายส่วนยอดจนชะงักการเจริญเติบโต ส่ำหรับผักในระยะที่ออกดอก ติดฝัก ดอกและฝักอาจถูกทำลายหมดไปได้ เมื่อถูกตัวหนอนจะดิ้นอย่างแรง และสร้างใยพำตัวขึ้นลงระหว่างพื้นดินกับใบพืชได้
การแพร่ระบาด
ประเทศไทยพบการระบาดต่อเนื่องตลอดทั้งปีในเกือบทุกพื้นที่ และมักพบการแพร่ระบาดในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีอุณหภูมิเหมาะต่อการเพิ่มจำนวนประชากรของหนอนใยผัก
รูปร่างลักษณะ
ตัวเต็มวัย เป็นผีเสื้อกลางคืนขนาดเล็ก ส่วนหลังมีแถบเหลืองส้ม ลักษณะหลายเหลี่ยมหนวดเป็นแบบเส้นด้าย แต่ละปล้องมีสีด่ำสลับขาว
ไข่ มีขนาด 0.8 มม. สีเหลืองอ่อน ค่อนข้างกลมแบน และจะเปลี่ยนเป็นสีดำ
หนอน เมื่อฟักจากไข่ใหม่ๆ จะมีขนาดเล็กประมาณ 1.5 มม. มีลักษณะเรียวยาว หัวแหลม ท้ายแหลม ส่วนท้ายมีปุ่มยื่นออกเป็น 2 แฉก และมีสีเขียวอ่อนหรือเทาอ่อน หรือเขียวปนเหลือง
ดักแด้ หนอนใยผักจะเข้าดักแด้บริเวณใบพืช โดยมีใยบางๆ ปกคลุมติดใบพืช และมีขนาดประมาณ 1 ซม. ดักแด้ระยะแรกจะมีสีเขียว แล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองปนน้ำตาล
พืชอาหาร : พืชผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักคะน้ำ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก กะหล่ำดอก อิตาเลียน กะหล่ำปม ผักกาดเขียวปลี ผักกาดขาวปลี ผักกาดเขียวกวางตุ้ง ผักกาดหัว ผักกาดดอก ผักกาดฮ่องเต้ เป็นต้น
ศัตรูธรรมชาติ: หนอนใยผักมีศัตรูธรรมชำติหลายชนิด ได้แก่ แมลงเบียนชนิดต่ำงๆ เช่น
- แตนเบียนไข่ (Trichogramma confusum Viggiani และ Trichogrammatoidea bactrae Nagaraja) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการควบคุมไข่หนอนใยผักร้อยละ 16.2 - 45.2
- แตนเบียนหนอน (Cotesia plutellae Kurdjumov และ Oomyzus sokolowskii Kurdjumov)มีประสิทธิภาพในการเข้าทำลายหนอนใยผักร้อยละ 60 - 90
- แตนเบียนดักแด้ (Thyrarellacollaris (Gravenhorst)) มีประสิทธิภาพทาลายดักแด้ร้อยละ 23.28
แนะนำวิธีการป้องกันกำจัด ดังนี้
1. การเขตกรรม สามารถช่วยลดการระบาดของหนอนใยผักได้ เช่น การไถพรวนดินตากแดดหรือการทำลายซากพืชอาหาร หรือการปลูกพืชหมุนเวียน
2. การใช้โรงเรือนตาข่ายไนล่อน หรือการปลูกผักกางมุ้ง โดยการปลูกผักในโรงเรือนที คลุมด้วยตาข่ายไนล่อนขนาด 16mesh (256 ช่องต่อตำรางนิ้ว) สามารถป้องกันการเข้าทำลายของหนอนใยผักและหนอนผีเสื้ออื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้โรงเรือนตาข่ายไนล่อนต้องปิดอย่างมิดชิดตลอดเวลาเพื่อป้องกันผีเสื้อเพศเมียเขาไปวางไข่
3. การใช้กับดักชนิดต่ำงๆ ได้แก่
-กับดักกาวเหนียวสีเหลือง เป็นกับดักทรงกระบอกหรือกระป๋องน้ำมันเครื่องสีเหลืองทำด้วยกาวเหนียว ทุก 7 -10 วันครั้ง
-กับดักแสงไฟ หลอดสีน้ำเงิน 20 วัตต์ เป็นหลอดเรืองแสงที เหมาะสมในการใช้จับผีเสื้อหนอนใยผักมากที่สุด ในการติดตั้งกับดักแสงไฟควรติดตั้งรอบนอกแปลงผัก และควรดำเนินการติดตั้งพร้อมกันในพื้นที
4. การใช้ศัตรูธรรมชาติ ได้แก่การใช้เชื้อแบคทีเรีย (บาซิลลัส ทูริงเยนซิส) ปกติในธรรมชาติจะพบเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดหนอนใยผัก แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อปริมาณเชื้อแบคทีเรียที จะทำให้หนอนใยผักตาย ปัจจุบันจึงมีการผลิตเชื้อแบคทีเรีย ในรูปการค้าออกจำหน่ายทีสำคัญมี 2 สายพันธุ์คือ Bacillus thuringiensis subsp. aizawai และ Bacillus thuringiensis subsp. Kurstaki อัตรา 100 -200 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร (ไม่ควรใช้ในแหล่งปลูกผัก ภาคกลาง ในช่วงที่มีการระบาดมากพิจารณาการใช้อัตราสูงและช่วงเวลาพ่นถี่ขึ้น หรือพ่นสลับสารกำจัดแมลง)
5. การใช้สารกำจัดแมลง เนื่องจากหนอนใยผักเป็นแมลงที สามารถสร้างความต้านทานต่อสารกำจัดแมลงได้รวดเร็วและหลายชนิด การพิจารณาเลือกใช้สารกำจัดแมลงที่มีประสิทธิภาพ เป็นแนวทางหนึ่งที่ สามารถป้องกันกำจัดหนอนใยผัก สารกำจัดแมลงที ใช้ในการป้องกันกำจัดหนอนใยผัก ได้แก่ สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา40 - 60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคลอร์ฟีนำเพอร์ 10% SC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือโทลเฟนไพแร็ด 16% EC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรืออินดอกซาคาร์บ 15% SC อัตรา 40-60มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 60-80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร (ควรพ่นสำรสลับกลุ่ม กลไกการออกฤทธิ์และใช้ไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อฤดูและใช้สลับกับการใช้เชื้อแบคทีเรียเมื่อการระบาดลดลง เพื่อหลีกเลียงการสร้างความต้านทาน)
ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์