การเลี้ยงหอยแครงแบบพัฒนา
มักนิยมในจังหวัดชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เป็นการเพาะเลี้ยงหอยแครงแบบธุรกิจขนาดใหญ่ โดยการเลี้ยงแบบนี้ลูกหอยจะถูกนำมาขายให้กับผู้ประกอบรายย่อย มีการปักเขตเช่นเดียวกับการเลี้ยงแบบดั้งเดิม ลูกหอยที่นำมาเลี้ยงมักจะใช้สายพันธุ์มาเลเซีย ขนาดที่นิยมใช้ในการเลี้ยงคือขนาด 2,500 ตัว / กิโลกรัม ซึ่งขนาดและอัตราหว่านเท่ากับการเลี้ยงแบบดั้งเดิม ใช้เวลาเลี้ยง 1 - 2 ปี จึงจะได้หอยขนาด 80 - 120 ตัว/กิโลกรัม ผลผลิตประมาณ 4000 - 5000 /ไร่/รุ่น
การเลี้ยงหอยแครงในบ่อดิน
เกิดขึ้นที่แรกที่จังหวัดสมุทรสาคร และสมุทรปราการ แต่เนื่องจากว่า ได้รับผลกระทบจากน้ำเสียที่มาจากโรงงาน ทำให้หอยแครงที่เลี้ยงในพื้นที่ดังกล่าวนั้นตายเป็นจำนวนมาก ผู้เลี้ยงหอยแครงหลายคนจึงได้นำหอยแครงที่เหลืออยู่มาทำการหว่านลงบนลานดิน ซึ่งลานดินดังกล่าวนั้นเป็นนากุ้งอยู่ด้วย จึงถือว่าเป็นการเพาะเลี้ยงหอยแครงและกุ้งแช่บ๊วยไปด้วยกัน แม้ว่าในปัจจุบันการเลี้ยงในบ่อดินถือเป็นที่นิยมของเกษตรกรส่วนใหญ่ แต่ผลผลิตก็ยังไม่เพียงพอต่อตลาด เนื่องจากการเลี้ยงในบ่อดินต้องใช้เวลาเลี้ยงเป็นเวลานาน
ปัญหาที่พบในการเลี้ยงหอยแครง
1.ปัญหาจากภัยธรรมชาติ เช่น แพลงก์ตอนบูม หรือ ขี้ปลาวาฬ ที่มักจะเกิดในช่วงเดือนกันยายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี นอกจากหอยแครงที่เลี้ยงอยู่จะเสียหายแล้ว ยังไม่สามารถเก็บลูกหอยในขณะนั้นได้และไม่มีตลาดรองรับผลผลิตในช่วงนั้น
2.ปัญหาจากการเกิดน้ำท่วม น้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลี้ยงหอยแครง หากกระแสน้ำแปรปรวน หรือน้ำจืดหรือเค็มมากเกินไป ก็สามารถทำให้หอยแครงตายได้เหมือนกัน
3.ปัญหาจากน้ำเสียที่มาจากแหล่งอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีการขยายกิจการขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปริมาณน้ำเสียที่ถูกปล่อยลงทะเลมีมากขึ้นและกระทบอาชีพการเลี้ยงหอยแครงของชาวบ้านมาก
4.การขาดแคลนลูกหอยแครงขนาดเล็กเนื่องจากแหล่งกำเนิดหอยในประเทศไทยมีน้อย ทำให้เกษตรกรต้องไปซื้อลูกหอยมาจากต่างประเทศ แม้ว่าปัจจุบันกรมประมงจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาแต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรอยู่ดี
การเลี้ยงหอยแครงระบบปิดด้วยแพลงก์ตอนพืช
การเลี้ยงหอยแครงระบบปิด สามารถทำตามได้ไม่ยากเนื่องจากไม่ได้ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน
1.ขั้นตอนแรก เริ่มจากทำการกักเก็บน้ำทะเลระดับความลึกไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร / บ่อขนาด 6 ไร่ เพื่อป้องกันอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น โดยการสร้างการหมุนเวียนของกระแสน้ำและ
2.เพิ่มออกซิเจนด้วยกังหันลมพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมกับการเพาะเลี้ยงแพลงก์ตอนพืช ให้มีปริมาณมากกว่าที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารให้กลับหอยแครง *เน้นใช้ในช่วงการปิดบ่อเพื่อเลี่ยงน้ำเสียหรือในฤดูฝนที่น้ำมีความเค็มต่ำกว่า 21 ส่วนในพันส่วน
3.ถ้าต้องการเร่งการเจริญเติบโตของหอยแครง จะปล่อยแพลงก์ตอนพืชในอัตรา 45000 /บ่อ/6 ไร่ ในทุก 3 วัน หรือ หากต้องการให้มีการเจริญเติบโตตามปกติ จะปล่อยแพลงก์ตอนพืช ทุก 9 วัน สลับช่วงกันไปเพื่อให้หอยแครงได้รับอาหารตามธรรมชาติอีกด้วย
ในปัจจุบันมีการพัฒนาการระบบการเลี้ยงหอยแครงในบ่อดินให้เป็นบ่อเลี้ยงหอยแครงระบบปิดแบบพัฒนาด้วยการผลิตแพลงก์ตอนพืช (สาหร่ายเซลล์เดียว)
ดร.ไพรฑูรย์ มงกงไผ่ อาจารย์คณะวิจัยแห่งสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลมหาวิทยาลัยบูรพา ได้มีการศึกษาวิจัยและดำเนินการถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกร และยังได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงอุดมการศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อช่วยเกษตรกรลดผลกระทบจากปัญหาสภาพปัญหาสภาพสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม คุณภาพน้ำไม่เหมาะสมหรือน้ำเสียได้สำเร็จ
ซึ่งวิธีการเลี้ยงหอยแครงระบบปิดนี้ทำให้ได้ผลรับได้ดีกว่าเลี้ยงหอยในบ่อดินแบบเดิมและหอยแครงมีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แบบ รสชาติอร่อย ขนาดตัวใหญ่ตามความต้องการของตลาดจึงขายได้ราคาดี ช่วยส่งเสริมให้อาชีพการเลี้ยงหอยมีความมั่นคงและสร้างแหล่งอาหารที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค และถือเป็นการพัฒนาอาชีพ คุณภาพให้กับชุมชน เพื่อทำให้ชุมชน เป็นชุมชนที่เข้มเเข็งและยั่งยืน และสร้างฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคงอีกด้วย
ที่มาข้อมูล : https://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=292&s=tblheight