ช่วงอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีลมแรง เกษตรกรผู้ปลูกพืชตระกูลกะหล่ำ (กะหล่ำปลี คะน้า ผักกาดขาวปลี กะหล่ำดอก ผักกาดเขียวปลี) ให้เฝ้าระวังการระบาดของ “หนอนใยผัก” โดยสามารถพบการระบาดได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของพืชตระกูลกะหล่ำ
.
ตัวเต็มวัยเพศเมียของหนอนใยผัก จะวางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ หรือกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งบนใบและใต้ใบพืช
.
หนอนใยผัก มีลักษณะเรียวยาว หัวแหลมท้ายแหลม ส่วนท้ายมีปุ่มยื่นออกเป็น 2 แฉก เมื่อถูกตัวจะดิ้นอย่างแรง และสร้างใยพาตัวขึ้นลงระหว่างพื้นดินกับใบพืชได้
.
หนอนจะกัดกินผิวใบทำให้ผักเป็นรูพรุนคล้ายร่างแห จากนั้นจะเข้าดักแด้บริเวณใบพืช โดยมีใยบาง ๆ ปกคลุมติดกับใบผัก
.
วิธีการป้องกันกำจัด
.
(1) การใช้กับดักชนิดต่างๆ ได้แก่
.
---กับดักกาวเหนียวสีเหลือง สามารถจับผีเสื้อหนอนใยผักได้เฉลี่ย 16 ตัวต่อวันต่อกับดัก เมื่อติดตั้งกับดักกาวเหนียวสีเหลืองจำนวน 80 กับดักต่อไร่ สามารถลดการใช้สารฆ่าแมลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
---กับดักแสงไฟ หลอดสีน้ำเงิน 20 วัตต์ เป็นหลอดเรืองแสงที่เหมาะสมในการใช้จับผีเสื้อหนอนใยผักมากที่สุด ควรติดตั้งรอบนอกแปลงผัก และควรดำเนินการติดตั้งพร้อมกันในพื้นที่
.
(2) การใช้โรงเรือนตาข่ายไนล่อน หรือการปลูกผักกางมุ้ง
.
ปลูกผักในโรงเรือนที่คลุมด้วยตาข่ายไนล่อนขนาด 16 mesh (256 ช่องต่อตารางนิ้ว) สามารถป้องกันการเข้าทำลายของหนอนใยผักและหนอนผีเสื้ออื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
(3) การใช้ศัตรูธรรมชาติ เชื้อแบคทีเรีย (บาซิลลัส ทูริงเยนซิส)
.
--- มีการผลิตเชื้อแบคทีเรียในรูปการค้าออกจำหน่ายที่สำคัญมี 2 สายพันธุ์ คือ Bacillus thuringiensis subsp. aizawai และ Bacillus thuringiensis subsp. kurstaki อัตราการใช้ 100-200 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
.
(4) การใช้วิธีทางเขตกรรม
.
เช่น การไถพรวนดินตากแดด หรือการทำลายซากพืชอาหาร หรือการปลูกพืชหมุนเวียน เพื่อขัดขวางการขยายพันธุ์อย่างต่อเนื่องของหนอนใยผัก
.
(5) การใช้สารฆ่าแมลง
.
สารฆ่าแมลงที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดหนอนใยผัก ได้แก่
---สไปนีโทแรม 12% SC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ
---โทลเฟนไพแร็ด 16% EC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ
---คลอร์ฟีนาเพอร์ 10% SC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ
---อินดอกซาคาร์บ 15% SC อัตรา 40-60 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ
---ฟิโพรนิล 5% SC อัตรา 60-80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
.
ควรพ่นสารสลับกลุ่มกลไกการออกฤทธิ์ และใช้ไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อฤดู และใช้สลับกับการใช้เชื้อแบคทีเรียเมื่อการระบาดลดลง เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความต้านทาน