เกษตรก้าวไกล-ฉะเชิงเทรา-ปราจีนบุรี/2ก.ย.68—วันนี้ทีมงานเกษตรก้าวไกลมีโอกาสติดตามคณะผู้ส่งออกมะม่วงไทยไปญี่ปุ่น นำทีมโดย คุณป้าพิมใจ มัตสึโมโต แห่ง บริษัทพี.เค.สยาม จำกัด เดินทางลงพื้นที่ดูแปลงปลูกมะม่วงที่ฉะเชิงเทราและปราจีนบุรี ทำให้ได้รับข้อมูลหลายๆเรื่องแต่เรื่องหนึ่งที่เรามักตกม้าตายคือเรื่องการตลาด
มะม่วงขายตึก มะม่วง GI ของดีแปดริ้ว แต่ยังส่งออกไม่ได้
บ้านเรานั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีสโลแกนอยู่ว่า “การตลาดนำการผลิต” และต่อมาเพิ่มว่า “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” แต่การเกษตรของเราก็ยังมีปัญหาสินค้าราคาตกต่ำ ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าให้สูงกว่าที่เป็นอยู่ได้มากนักและแน่นอนว่ารายได้ของเกษตรกรก็ยังไม่สามารถเพิ่ม 3 เท่า ใน 4 ปี ตามที่รัฐบาลได้ประกาศไว้
แม้ประเทศไทยจะมีผลไม้คุณภาพเยี่ยมมากมาย แต่นโยบาย “การตลาดนำการผลิต” ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้อย่างยั่งยืน ตามที่ทีมงานเกษตรก้าวไกลได้ลงพื้นที่และพูดคุยกับผู้ส่งออกมะม่วงไทยไปญี่ปุ่น
จากที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ส่งออกจากญี่ปุ่นเขาบอกว่าบ้านเรานั้น มีผลไม้ของดีมากมาย อย่างมะม่วงที่มาดูคราวนี้ ไม่เฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ เขียวเสวย ที่ส่งออกญี่ปุ่นได้อยู่แล้ว (มะม่วง 7 ชนิดที่อนุญาตให้นำเข้าประเทศญี่ปุ่นได้คือ พันธุ์หนังกลางวัน, พันธุ์แรด, พันธุ์พิมเสน, พันธุ์น้ำดอกไม้, พันธุ์มหาชนก, พันธุ์เขียวเสวย, และพันธุ์โชคอนันต์) ซึ่งจริงๆแล้ว มะม่วงบางชนิดเราไม่ได้ส่งออกแล้ว เพราะมีผลผลิตที่ไม่มากพอส่งออก ในขณะที่เรายังมีมะม่วงอีกหลายชนิดที่เราส่งออกญี่ปุ่นไม่ได้ แต่มีมาก อย่างเช่น มะม่วงขายตึก ซึ่งเป็นมะม่วง GI ของฉะเชิงเทราและมีเรื่องราว(Story)อยู่มาก ตรงนี้ภาครัฐของเราต้องเจรจาและจัดทำเอกสาร เพื่อขอเพิ่มรายการมะม่วงส่งออก
สิ่งสำคัญที่สุดผู้ส่งออกแนะนำว่า เราต้องทำตลาดซื้อขายล่วงหน้าไม่ใช่ผลผลิตจะออกในอีก 2 สัปดาห์แล้วมาติดต่อซื้อขาย อย่างคราวนี้เขามาดูตั้งแต่มะม่วงออกดอกตั้งแต่ออกลูกเล็กๆแล้วมาตกลงซื้อขายกัน ซึ่งเขาบอกว่าถ้าตกลงชัดเจนแล้วเขาจะได้ไปทำแผนการตลาดส่งเสริม(โปรโมท)การบริโภคภายในประเทศญี่ปุ่น และแน่นอนว่าถ้าเราไม่ได้วางแผนการซื้อขายการตลาดล่วงหน้ามะม่วงก็จะถูกกดราคาเหมือนที่ผ่านมา
โดยสรุปมะม่วงไทยผลไม้ไทยสินค้าเกษตรไทย ยังมีคุณภาพอีกมากมาย ที่เราควรจะส่งออกไปขายต่างประเทศ แต่ภาครัฐไทยและผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเกษตรกรของเราต้องตื่นตัวเดินหน้าเคียงข้างไปด้วยกัน
จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับ “คุณป้าพิมใจ มัตสึโมโต” และทีมงาน แห่ง บริษัท พี แอนด์ เอฟ เทคโน จำกัด (ซึ่งได้นำผู้รับซื้อชาวญี่ปุ่นเดินทางมาดูสวนมะม่วง) พบว่าปัญหาสำคัญอยู่ที่ “การตลาด” ซึ่งเป็นสาเหตุที่รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของ นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล และ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ต้องเร่งแก้ปัญหาและประกาศเป็น “นโยบายเร่งด่วน (Quick Win)” โดยเฉพาะ 4 เดือนนับจากนี้ที่บอกว่าจะเร่งแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรราคาตกต่ำว่าจะทำได้จริหรือไม่?
ผู้ส่งออกผลไม้ไทยไปญี่ปุ่นชี้ว่า ผลไม้ไทย (เช่น มะม่วงน้ำดอกไม้, เขียวเสวย ฯลฯ) เป็นที่ต้องการของตลาดในญี่ปุ่น เพราะผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นรู้จักดีอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ “เรายังไม่สามารถใช้ความได้เปรียบนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
มะม่วงน้ำดอกไม้ที่ตลาดไทเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1 บาท (ในเข่งที่เห็น10กิโลกรัม ขาย 10 บาท) ภาพเดือนเมษายน 68
สิ่งที่ต้องเปลี่ยน: จาก “ผลิตแล้วหาคนซื้อ” เป็น “ซื้อขายล่วงหน้า”
จุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ถูกกดราคาคือ:
1. การขาดการวางแผนล่วงหน้า: เกษตรกรติดต่อซื้อขายก็ต่อเมื่อผลผลิตใกล้จะออกสู่ตลาด (เช่น อีก 2 สัปดาห์) ทำให้ “อำนาจการต่อรอง” ไปอยู่ที่พ่อค้าคนกลางหรือผู้ส่งออก (ผู้ซื้อ) ซึ่งนำไปสู่การ “กดราคา” เพราะเกษตรกรไม่อยากให้ผลไม้สุกคาต้น
2. สิ่งที่ผู้ส่งออกต้องการ: ผู้ส่งออกต้องการเข้ามาดูและตกลงซื้อขายล่วงหน้า ตั้งแต่มะม่วงเริ่มออกดอกหรือออกลูกเล็ก ๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถวางแผนการตลาดและโปรโมตสินค้าในญี่ปุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คุณหลิน ผู้บริหารบริษัทพี.เค.สยาม
สถานการณ์ใหม่ที่ต้องสร้าง: การทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจะทำให้เกษตรกรมี “อำนาจการต่อรองสูงขึ้น” สามารถเลือกคู่ค้าที่ให้ราคาสูงสุดตามคุณภาพที่กำหนด และทำให้การเกษตรเปลี่ยนจาก “การพึ่งพาโชคชะตา” เป็น “ธุรกิจที่มีการวางแผน” ตามที่ “คุณหลิน” ธนาสรณ์ วิชัยรัตนกุล ผู้บริหารอีกคนหนึ่งของบริษัท พี แอนด์ เอฟ เทคโน จำกัด เน้นย้ำว่า “ก่อนผลิตต้องรู้ว่าตลาดอยู่ที่ไหน ผลิตแล้วจะขายใคร”
นโยบาย “ตลาดนำการผลิต” จะใช้ได้ผลจริงก็ต่อเมื่อแก้ปัญหา 3 ส่วนหลักนี้:
1. ช่องว่างด้านข้อมูล (Information Gap): เกษตรกรส่วนใหญ่ ขาดการเข้าถึงข้อมูลอุปสงค์ (Demand) ของตลาดต่างประเทศและแนวโน้มตลาดในอนาคต ทำให้ยังคงผลิตตามประสบการณ์เดิมหรือกระแสการปลูก โดยไม่ได้ผลิตสิ่งที่ตลาดโลกต้องการ
2. ความไม่ต่อเนื่องในการผลิต (Volume & Quality): การรวมกลุ่มเกษตรกรยังไม่เข้มแข็งพอ ทำให้ “ไม่สามารถรักษาปริมาณและคุณภาพ” ให้สม่ำเสมอตามที่คู่ค้าขนาดใหญ่ต้องการตลอดปี ผู้ส่งออกจึงไม่มั่นใจที่จะทำสัญญาระยะยาว
3. ขาดโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure): ระบบโลจิสติกส์ การขนส่ง การเก็บรักษา และการคัดบรรจุยัง “ไม่ได้มาตรฐานสากล” ทำให้สินค้าเสียหายสูงและไม่สามารถรักษาความสดเพื่อส่งออกทางเรือได้
บทสรุป: เพื่อให้ “ตลาดนำการผลิต” ประสบความสำเร็จ ภาครัฐต้องช่วยอุด “ช่องว่างข้อมูล” และ “โครงสร้างพื้นฐาน” ควบคู่ไปกับการเปลี่ยน “ทัศนคติ” ของเกษตรกรจากผู้ปลูกมาเป็น “ผู้ประกอบการ (Entrepreneur)” ที่มองการณ์ไกลและยึดมั่นในสัญญา