นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ตนได้พบ หารือกับนางออร์นา ซาร์กิฟ (H.E. Ms. Orna Sagiv) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย เพื่อกระชับ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้า ตลอดจนหารือแผนการทำงานสำหรับการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันในอนาคต
นายพิชัย กล่าวว่า อิสราเอลเป็นประเทศทะเลทรายในตะวันออกกลางที่มีรายได้สูง มีพื้นที่การเกษตรไม่มาก และมีความนิยมบริโภคข้าวคุณภาพดี จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะขยายการส่งออกข้าวคุณภาพ เช่น ข้าวหอม ข้าวหอม มะลิ และข้าวไรซ์เบอร์รี โดยฝ่ายอิสราเอลได้แสดงความต้องการที่จะขยายการค้ากับไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะใน สินค้าเกษตรและอาหาร อาทิ ข้าว อาหารสำเร็จรูป อาหารทะเลกระป๋อง และผักผลไม้กระป๋อง
รมว.พาณิชย์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตนได้แจ้งท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของ ประเทศไทยว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นมากในปีนี้ การส่งออกในช่วง 2 เดือนแรกขยายตัวดีขึ้นกว่าปีที่ แล้ว ซึ่งเป็นปีที่การส่งออกของไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลมาจากการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่เริ่มออก ดอกออกผล และขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างการส่งออกไปสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง โดยจะก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) ระดับโลกในอนาคต
ซึ่งฝ่ายอิสราเอลได้ชื่นชมการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย และเห็นว่าทั้งสองประเทศยังมีศักยภาพในการพัฒนา ความร่วมมืออีกมาก โดยเฉพาะสาขาที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น การเกษตรสมัยใหม่ การบริหารจัดการน้ำ การ ส่งเสริม SMEs และ StartUps การวิจัยและพัฒนา และอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ นอกจากนี้ อิสราเอลยัง สนใจที่จะมาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ อิสราเอลกำลังมองหาบริษัทไทยที่จะมาเป็นพันธมิตรในสาขาความมั่นคง ปลอดภัยทางไซเบอร์ (cyber security) เทคโนโลยีทางการเงิน (fintech) และอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อใช้ไทยเป็นฐาน การผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมทั้งอาเซียน
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอิสราเอล (H.E. Mr. Nir Barkat) ยังตั้งใจที่จะ เดินทางเยือนประเทศไทยในช่วงกลางปีนี้ ตามคำเชิญของตน ตอนพบท่านรัฐมนตรีฯ ที่ดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ในช่วง การประชุม WEF 2025 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งตนเห็นว่าจะเป็นโอกาสอันดีมาก เนื่องจากจะเป็นครั้งแรกใน รอบ 20 ปีที่รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจการค้าจากอิสราเอลจะได้เดินทางเยือนไทย
ตนจึงได้เสนอจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ระดับรัฐมนตรี เป็นครั้งแรก และจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในการขยายความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างกัน ทั้งยังได้เสนอ ฝ่ายอิสราเอลว่า เห็นควรให้เจ้าหน้าที่กรมเจรจาฯ ของสองประเทศเร่งพูดคุยรายละเอียดขอบเขตการเจรจา FTA ระหว่างกัน เพื่อทั้งสองฝ่ายจะได้ดำเนินการกระบวนการภายในและนำไปสู่การเริ่มต้นเจรจา FTA ไทย ?อิสราเอล ใน ปี 2568 นี้
ทั้งนี้ ในปี 2567 อิสราเอลเป็นคู่ค้าอันดับที่ 39 ของไทยในตลาดโลก และอันดับที่ 6 ในตะวันออกกลาง การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า1,281.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทย 813.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการ นำเข้าของไทย 468.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน อาหารทะเลกระป๋อง อัญมณีและเครื่องประดับ ข้าว ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และส่วนประกอบ และสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เพชร เครื่องจักรไฟฟ้า และส่วนประกอบ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช ผักผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์และการแพทย์