แจ้งเตือนศัตรูพืชระบาด “โรครากขาวยางพารา (White root disease)”
วันที่ 28 ตุลาคม 2564
เตือนเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย เฝ้าระวังการระบาดของโรครากขาวที่มักเกิดขึ้นในช่วงฝนตกชุก สภาพอากาศมีความชื้นสูง สามารถเกิดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต และมักเกิดขึ้นกับต้นยางอายุ 1 ปี ขึ้นไป โดยใบของยางพาราจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองในบางกิ่งหรือทั้งทรงพุ่ม ขอบใบจะห่อลงเล็กน้อย
กิ่งแขนงบางส่วนแห้ง โคนต้นมีอาการเปลือกแห้งน้ำยางไหล เกิดแผลสีน้ำตาลที่โคน เมื่อขุดรากจะพบเห็นเส้นใยสีขาวของเชื้อราเจริญปกคลุมทั่วผิวราก และมีดอกเห็ดลักษณะครึ่งวงกลม ผิวด้านบนสีส้มเหลืองเป็นวงสลับสีอ่อนแก่
ขอบดอกสีขาวด้านล่างเป็นสีส้มแดงหรือสีน้ำตาลแผ่นเดียวหรือซ้อนกันหลายแผ่นเป็น ชั้นๆ เกาะติดกับโคนต้นหรือรากที่โผล่พ้นดิน ดังนั้น เกษตรกรควรหมั่นสำรวจสวนยางพาราอย่างสม่ำเสมอ หากพบยางพารามีอาการดังกล่าว
ให้รีบขอค้าแนะนำจากเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอ หรือเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรจังหวัด เพื่อหาทางควบคุมและป้องกันกำจัดก่อนเกิดการระบาดรุนแรง
เชื้อสาเหตุ : เชื้อรา Rigidoporus microporus (Sw.) Overeem
ลักษณะอาการ
ระบบรากของยางพาราจะถูกท้าลาย ท้าให้พุ่มใบแสดงอาการผิดปกติโดยเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
ในบางกิ่งหรือทั้งทรงพุ่ม ขอบใบจะห่อลงเล็กน้อยและค่อนข้างหนาเป็นคลื่น กิ่งแขนงบางส่วนแห้งจนในที่สุดจะแสดงอาการยืนต้นตาย ที่โคนต้นมีอาการเปลือกแห้ง น้ำยางไหล เกิดแผลสีน้ำตาลที่โคนเมื่อขุดรากจะพบเห็นเส้นใยสีขาวของเชื้อราเจริญปกคลุมทั่วผิวราก เส้นใยที่มีอายุมากจะกลมนูนและกลายเป็นสีเหลืองซีดหรือแดงซีด เนื้อไม้ในระยะแรกแข็งกระด้างเป็นสีน้ำตาลซีด ในระยะที่เป็นโรคอย่างรุนแรงจะยุ่ยเป็นสีครีม ถ้าอยู่ในที่ชื้นแฉะจะเน่าและปรากฎดอกเห็ดมีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม แผ่นเดียวหรือซ้อนกันหลายแผ่นเป็นชั้นๆ เกาะติดกับโคนต้นหรือรากที่โผล่พ้นดินผิวด้านบนของดอกเห็ดเป็นสีส้มเหลืองเป็นวงสลับสีอ่อนแก่ ขอบดอกสีขาว ด้านล่างเป็นสีส้มแดงหรือสีน้ำตาล
การแพร่ระบาด
เชื้อราเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูฝน ที่มีความชื้นสูง การกระจายและการระบาดของโรคที่รุนแรงมักปรากฏในพื้นที่ปลูกที่มีรากไม้ตอไม้ เป็นพื้นที่ปลูกที่ปลูกแทนป่าเป็นครั้งแรกและดินมีลักษณะเป็นดินร่วนทราย เชื้อราสามารถแพร่กระจายได้ โดยการสัมผัสกันระหว่างรากที่เป็นโรคกับรากจากต้นปกติ และสปอร์ของเชื้อราปลิวไปตามลม ติดไปกับขาแมลง หรือลอยไปตามน้ำแล้วไปตกบนบาดแผลของตอยางใหม่ เมื่อมีความชื้นเพียงพอ
จะเจริญลุกลามไปยังระบบรากกลายเป็นแหล่งเชื้อโรคแหล่งใหม่
แนะนำวิธีการป้องกันกำจัด ดังนี้
การป้องกันกำจัดและควบคุมโรครากขาวให้ได้ผลจะต้องมีมาตรการในการจัดการตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมการปลูกไปจนถึงหลังปลูก หรือระยะที่ต้นยางให้ผลผลิตแล้ว
1. การเตรียมพื้นที่ปลูกยางควรท้าลายตอไม้ ท่อนไม้เก่าออกให้หมด ไถพลิกหน้าดินตากแดดเพื่อกำจัดเชื้อราที่เจริญอยู่ในดินและในเศษไม้เล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่ในดิน
2. ในแหล่งที่มีโรคระบาด หลังการเตรียมดินควรปล่อยพื้นที่ว่างไว้ประมาณ 1 - 2 ปี หรือปลูกพืชคลุมดินตระกูลถั่ว เพื่อปรับสภาพดินให้เหมาะกับการเจริญเติบโตของพืชและจุลินทรีย์ในดินบางชนิดที่เป็นพิษต่อเชื้อราสาเหตุโรครากขาว
3. แปลงยางที่มีประวัติการเป็นโรครากขาวมาก่อน แนะน้าให้ใช้กำมะถันผงผสมดินในหลุมปลูก
240 กรัมต่อหลุม เพื่อปรับสภาพ pH1ดิน ให้เป็นกรด เหมาะต่อการเจริญของเชื้อปฏิปักษ์ต่อโรครากขาวและป้องกันการเจริญของเชื้อราสาเหตุโรครากขาวเข้าทำลายรากยาง
4. หลังจากปลูกยางไปแล้ว 1 ปี ควรสำรวจแปลงยางสมสม่ำเสมอ ตรวจดูพุ่มใบเพื่อหาต้นยางที่เป็นโรครากขาว ในพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นโรคมาก่อน ควรตรวจปีละ 1 - 2 ครั้ง ส่วนในพื้นที่ที่เคยเป็นโรคมาแล้วให้ตรวจซ้ำทุก
3 เดือน ต้นยางเป็นโรครุนแรงไม่สามารถรักษาได้ ควรขุดต้นเผาท้าลายและรักษาต้นข้างเคียงโดยการใช้สารเคมี
5. ต้นยางอายุน้อยกว่า 3 ปี ที่เป็นโรครากขาวนั้น ควรขุดเผาท้าลายให้หมดเพื่อยับยั้งการระบาด
ของโรค
6. ต้นยางที่มีอายุมากกว่า 3 ปีขึ้นไป ควรขุดคูล้อมบริเวณต้นเป็นโรค (กว้าง 30 เซนติเมตร ลึก 60 เซนติเมตร) เพื่อป้องกันไม่ให้โรคแพร่ระบาดไปยังต้นอื่นโดยการสัมผัสกันของราก และขุดลอกคูทุกปี
7. ไม่ควรปลูกพืชร่วม หรือพืชแซมที่เป็นพืชอาศัยในพื้นที่ที่เป็นโรคราก
8. ใช้สารเคมีสำหรับรักษาต้นที่เป็นโรคเพียงเล็กน้อย และใช้กับต้นข้างเคียงเพื่อป้องกันโรคโดยขุดร่องเล็กๆ รอบโคนต้น กว้าง 15 - 20 เซนติเมตร เทสารเคมีลงในร่องรอบโคนต้น ใช้สารเคมีทุก 6 เดือน เป็นเวลา 2 ปี
- ไตรเดอร์มอร์ฟ 75% EC อัตรา 10 - 20 ซีซี ต่อน้ำ 1 – 2 ลิตร ต่อต้น
- ไซโปรโคนาโซล 10% SL อัตรา 10 - 20 ซีซี ต่อน้ำ 1 – 2 ลิตร ต่อต้น
- โปรปิโคนาโซล 25% EC อัตรา 30 ซีซี ต่อน้ำ 3 ลิตร ต่อต้น
- เฮกซะโคนาโซล 5% EC อัตรา 10 – 20 ซีซี ต่อ น้ำ 2 ลิตร ต่อต้น
- เฟนิโคลนิล 40% FS อัตรา 4 - 8 กรัม ต่อน้ำ 3 ลิตร ต่อต้น