สมุนไพรฤทธิ์ร้อน" ดูแลสุขภาพหน้าฝน
1 มิ.ย. 2564
826
0
อากาศบ้านเรา บางวันก็ฝนตกและบางวันก็แดดร้อนจัด ดังนั้นมีโอกาสที่ร่างกายจะเจ็บป่วยและเป็นไข้ได้ง่าย การป้องกันสุขภาพในช่วงหน้าฝนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ใครหลายคนไม่ควรมองข้าม ถ้าได้กิน "สมุนไพรฤทธิ์ร้อน" ในฤดูฝน จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากยิ่งขึ้น เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีประโยชน์ในเรื่องปรับสมดุลให้กับร่างกาย
Plant/11565_1_สมุนไพรฤทธิ์ร้อน_ดูแลสุขภาพหน้าฝน.jpg
การกินสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเปรียบเสมือนยาประจำฤดูฝนที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานอีกหนึ่งชั้นให้กับร่างกาย หากสงสัยว่าสมุนไพรเหล่านั้นมีอะไรบ้าง เราจะพาทุกคนไปค้นหากัน..
Plant/11565_2_ขิง_สมุนไพรอุดมไปด้วยแร่ธาตุ.jpg
"ขิง" สมุนไพรอุดมไปด้วยแร่ธาตุ ขิงเป็นพืชชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ในบางพื้นที่ เป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อนประจำอากาศธาตุที่มีรสหวานร้อน พร้อมกับสรรพคุณแก้ท้องผูก แก้ไข้ นอนไม่หลับ และแก้ลม เป็นไม้ล้มลุกมีลำต้นใต้ดินประเภทไรโซม มีลักษณะเป็นเหง้าแง่งกลมแบนเป็นข้อๆ เนื้อในสีเหลืองมีเส้นใยปานกลาง สามารถเติบโตข้ามฤดูได้ง่าย

การปลูกขิง
ขิงจะปลูกได้ดีในร่มเงารำไรจนถึงกลางแจ้ง ในดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง เป็นพืชที่ชอบอากาศร้อนชื้นและต้องการน้ำมาก

1. ปลูกในแปลง
การปลูกในแปลงควรทำเป็นลอนๆ ลูกฟูก ขนาดห่างกันประมาณ 40 เซนติเมตร แล้วนำขิงลงปลูกในร่องระหว่างลอน โดยให้ระยะระหว่างต้นห่างกัน 8-10 เซนติเมตร จากนั้นกลบดินบางๆ ถ้ากลบหนาหน่อจะแทงออกมาลำบาก รดน้ำให้ชุ่มแล้วหาวัสดุคลุมดินอย่างขุยมะพร้าวหรือซังข้าวโพดมาคลุม จะทำให้หน่อชิงที่งอกออกมาสวยงาม

2. การชำขิง
ถ้าเอาแง่งขิงพันธุ์แก่ไปเพาะในแปลงจะใช้เวลาหลายวันกว่าจะงอกงาม ดังนั้น วิธีที่นิยม คือ การชำขิงพันธุ์ โดยการเอาขิงมาวางซ้อนกัน เรียงให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก อย่าให้ด้านใต้กองอับทึบ จากนั้นนำฟางหรือกระสอบคลุมทับไว้ แล้วพรมน้ำให้มีความชื้นอยู่เสมอ ทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน หน่อก็จะแตกออกมา

3. การดูแลรักษา
ในระยะแรกควรรดน้ำทุกวัน เมื่อต้นขิงโตได้ประมาณ 1 นิ้ว ก็เปลี่ยนเป็นให้น้ำ 2-3 วันต่อครั้ง ระยะนี้ขิงจะมีอายุได้ประมาณ 2 เดือน จากนั้นทำการพูนโคน คือ การเอาดินบนลูกฟูกลงมากลบขิง ต้องทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้เครื่องมือโดนแง่งขิง ควรใช้เครื่องมือลักษณะคล้ายพายโกยดินกลบแทน

ประโยชน์และสรรพคุณของขิง
ขิงเป็นพืชที่มีความสำคัญทางอาหาร เนื่องจากมีธาตุฟอสฟอรัสและวิตามินเอสูง ที่ช่วยในการปรับปรุงรสชาติอาหาร อีกทั้งยังสามารถนำส่วนต่างๆของขิง ไม่ว่าจะเป็น แง่งขิง เปลือกขิง น้ำมันหอมระเหยและใบสดๆ มาใช้เป็นยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคชนิดต่างๆได้อีกด้วย

1. บรรเทาอาการหวัด
ขิงมีฤทธิ์แก้ไอและรักษาอาการหวัดได้ ขิงสดยังมีประสิทธิภาพต่อต้านการสะสมของเชื้อไวรัสได้ดีกว่าขิงแห้ง โดยให้นำขิงสดกับน้ำมะนาวผสมกันแล้วใส่เกลือลงไปเล็กน้อย ทานครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการหวัดและไอให้ดีขึ้น

2. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ขิงจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น พร้อมกับช่วยลดอาการปวดประจำเดือน เพียงแค่กินสารสกัดจากขิงหรือดื่มน้ำขิงร้อนๆ วันละ 3-4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่เริ่มมีประจำเดือน ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดจำเดือนได้

3. ลดความดันโลหิต
ขิงช่วยลดความดันโลหิต หลอดเลือดแดง และยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบหลอดเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี เพียงแค่นำขิงสดฝานบางๆ ต้มกับน้ำเปล่าดื่มทุกวัน วันละ 1 แก้ว ก็จะช่วยลดความดันโลหิตได้

4. ลดระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันในเลือด
ขิงสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ระดับไขมันในเลือด และยังช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สองได้อีกด้วย แต่ว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานควรระมัดระวัง หากกินในปริมาณมากไป อาจส่งผลให้ระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงได้

5. บรรเทาอาการท้องอืด
ขิงสามารถช่วยลดอาการท้องอืด จุกเสียดแน่นท้อง ขับลม และกระตุ้นการทำงานของลำไส้ได้ดี
Plant/11565_3_ดีปลี_สมุนไพรเก่าแก่บำรุงสุขภาพ.jpg
"ดีปลี" สมุนไพรเก่าแก่บำรุงสุขภาพ คือ หนึ่งในสมุนไพรไทยที่มีคุณประโยชน์หลากหลาย มีรสชาติที่เผ็ดร้อน พร้อมกับมีชื่อเสียงในด้านสรรพคุณที่ดีเลิศ ที่ช่วยในเรื่องการนำไปปรุงอาหารหรือบรรเทาอาการรักษาโรคต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่มีประโยชน์ล้นหลามเสียจริง

การปลูกดีปลี
ดีปลีเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย แค่ตัดท่อนใดท่อนหนึ่งของตัวเถาดีปลีไปปักในดิน เพียงเทานี้ดีปลีก็จะเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ อีกทั้งยังมีความสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี ทำให้หมดปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตไปได้เลย

1. การเตรียมดิน
เลือกพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความร่วนซุย และระบายน้ำได้ดี

2. วิธีปลูก
สามารถปลูกได้โดยการตัดยอดดีปลีประมาณ 5 ข้อ แล้วนำไปปลูกติดกับเสาค้างประมาณ 3-5 ค้างต่อเสา จากนั้นฝังลงดินประมาณ 3 ข้อ นำยอดทั้งหมดผูกติดกับเสาค้างเพื่อให้รากยึดเกาะติดกับเสาค้าง พร้อมกับพรางแสงด้วยทางมะพร้าวประมาณ 2 สัปดาห์

3. การขยายพันธุ์
ดีปลีนิยมขยายพันธุ์โดยการใช้เถาปักชำ ซึ่งจะใช้ยอดหรือไหลมาชำก็ได้ แต่ว่าส่วนใหญ่จะนิยมใช้ยอดมากกว่า เพราะให้ผลผลิตได้ทันที ถ้าหากใช้ไหลในการปลูกอาจกินเวลานานหลายปีกว่าจะออกดอก ยอดดีปลีที่จะนำมาชำควรใช้ยอดที่แยกออกด้านเดียว ตัดต่ำกว่าปลายยอดลงมา 5 ข้อ แล้วนำดินเหนียวหุ้ม 2 ข้อล่าง เพื่อเพิ่มความชื้นให้แตกรากเร็วขึ้น จากนั้นจึงนำยอดไปชำลงในถุงจนกระทั่งมันแตกราก แล้วนำไปปลูกต่อ

4. การให้น้ำ
ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ระบบให้น้ำตามร่อง 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และไม่ควรให้แฉะจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคโคนได้ง่าย

5. การใส่ปุ๋ย
ปุ๋ยเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก เนื่องจากดีปลีเป็นพืชที่ให้ผลผลิตตลอดปี ดังนั้นถ้ามีการให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ ดีปลีจะให้ผลผลิตสูงตามไปด้วย

ประโยชน์และสรรพคุณของดีปลี
ดีปลีเป็นพืชสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่มีสรรพคุณหลายอย่าง สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เริ่มตั้งแต่ผลสุกของดีปลีที่มีน้ำมันที่สามารถใช้ในการกำจัดตัวด้วง และเป็นยาฆ่าแมลงแบบธรรมชาติได้ ส่วนดอกดีปลีมีรสชาติเผ็ดร้อน พร้อมกับออกรสขมประมาณหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้สามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาท้องเสีย ลำไส้อักเสบ ขับลมในกระเพาะอาหาร และอาการภูมิแพ้ได้ ส่วนของลำต้นดีปลีนั้นก็สามารถนำมาใช้ในการแก้ปวดฟันได้ จุดเสียดปวดท้องแน่นเฟ้อ รวมไปถึงช่วยในการเจริญอาหารอีกด้วย และในส่วนของรากสามารถช่วยรักษาอาการวิงเวียนหน้ามืด แก้เสมหะ ช่วยรักษาเส้นประสาท และกล้ามเนื้อที่อักเสบได้

1. ช่วยรักษาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร
ดีปลีสามารถช่วยรักษาความผิดปกติต่างๆในระบบทางเดินอาหาร ไม่ว่าจะเป็น ขับลม ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่น และลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ที่มีสาเหตุมาจากปัญหาธาตุไม่ปกติ

2. บรรเทาอาการระคายเคืองในกระเพาะ
ดีปลีมีฤทธิ์ที่ช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในกระเพาะ จึงทำให้ลดโอกาสในการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและโรคกระเพาะอาหาร

3. บรรเทาอาการหวัด
ดีปลีมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัดและเจ็บคอ รวมถึงหลอดลมอักเสบ หืดหอบ ลดเสมหะ และการระคายคออันเนื่องมาจากเสมหะ

4. ช่วยลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ
ดีปลีสามารถนำมาใช้ลดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ เจ็บ ปวด และฟกช้ำบริเวณผิวหนังได้ โดยนำมาปรุงเป็นยาหรือนำผลมาฝนกับน้ำแล้วทาบริเวณที่มีอาการ จะทำให้อาการบรรเทาลง และเลือดลมไหลเวียนได้ดีมากขึ้น
Plant/11565_4_กระชาย_สมุนไพรที่ให้วิตามิน.jpg
"กระชาย" สมุนไพรที่ให้วิตามิน กระชายเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่อยู่คู่กับคนไทยมาเป็นเวลานาน นอกจากจะช่วยเสริมรสชาติอาหารให้อร่อยกลมกล่อมแล้ว ยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งยังนำมาใช้ในการบรรเทาอาการของโรคต่างๆ

การปลูกกระชาย
การปลูกกระชายแซมไม้ยืนต้นจะช่วยให้พืชและผลต่างๆ เจริญเติบโตได้ดีขึ้น เพราะได้รับร่มเงาที่พอเหมาะ เนื่องจากกระชายเป็นพืชที่ไม่ชอบรับแสงแดดเป็นจำนวนมาก การปลูกใต้ร่มไม้จะทำให้ต้นกระชายได้รับแสงแดดที่พอดี ส่งให้ผลผลิตเจริญงอกงาม แต่ไม่ควรปลูกใต้ต้นมะขามและมะยงชิด เพราะกระชายอาจจะฟีบตายก่อนที่หัวจะโตนั่นเอง

1. การเตรียมดิน
ไถพรวนหรือขุดดินเพื่อให้ดินร่วนซุย ถ้าพื้นที่แถวนั้นเป็นดินที่ระบายน้ำได้ง่ายก็จะดีต่อกระชาย เพราะพืชชนิดนี้สามารถขึ้นได้ดีในดินทุกแบบ แต่ต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำได้ดี และไม่เป็นพื้นที่ท่วมขัง การเตรียมดินควรไถพรวนตอนต้นฤดูฝน ด้วยการยกร่องปลูกให้มีระยะห่างระหว่างแถว 75 เซนติเมตร และระหว่างต้นประมาณ 30 เซนติเมตร

2. วิธีการปลูก
เริ่มจากไถพรวนหรือขุดดินเพื่อกำจัดวัชพืช และปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดี จากนั้นนำขี้เถาแกลบผสมกับแกลบ แล้วหว่านให้ทั่วแปลงปลูก จัดการพรวนให้เข้ากัน พร้อมกับนำหัวพันธุ์กระชายลงปลูกในแปลงให้เป็นแถว แล้วใช้เศษฟางหญ้าหรือทางมะพร้าวแห้งปิดคลุมไว้ หลังจากนั้นประมาณ 1-2 เดือน ให้หว่านปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงทั่วแปลงเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน และให้ผลผลิตเจริญงอกงามดีขึ้น

3. การรดน้ำ
ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ต้นกระชายได้รับความชุ่มชื่น เพราะกระชายเป็นพืชที่ชอบน้ำนั่นเอง

ประโยชน์และสรรพคุณของกระชาย
กระชายมีคุณสมบัติบำรุงร่างกาย มีรสชาติเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอมระเหยอ่อนๆ ที่สำคัญยังเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด

1. ช่วยรักษาสารพัดโรค
กระชายสามารถแก้อาการวิงเวียนศีรษะ แน่นหน้าอก บำรุงกระดูก ป้องกันไม่ให้กระดูกเปราะบาง พร้อมกับปรับสมดุลความดันโลหิตให้กับร่างกาย รวมไปถึงยังช่วยบำรุงไตและตับให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

2. บรรเทาอาการโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
โดยเลือกทานรากของกระชายสดแบบไม้ต้องปอกเปลือก วันละ 3 มื้อ ก่อนอาหาร 15 นาที จะช่วยบรรเทาอาการแสบกระเพาะอาหารได้

3. ช่วยบำรุงหัวใจ
นำรากและเหง้าของกระชายมาปอกเปลือกออกให้หมดแล้วล้างให้สะอาด อย่าให้เหลือคราบดิน นำมาหั่นเป็นแว่นเล็กๆ แล้วตากแดดให้แห้ง หลังจากนั้นให้นำมาบดเป็นผง นำผงกระชายที่ได้มาชงกับน้ำร้อนวันละ 1 ช้อนชา ดื่มเป็นประจำจะช่วยบำรุงหัวใจได้ดี

4. ช่วยบำรุงร่างกาย
นำกระชายสดมาล้างให้สะอาด ขูดเปลือกออกพร้อมกับตัดหัวและรากออกให้เหลือแต่ลำต้น หั่นเป็นท่อนเล็กๆ แล้วนำไปปั่นพร้อมกับน้ำต้มสุก จากนั้นนำมากรองด้วยผ้าขาวบาง ก็จะได้น้ำกระชายสดที่มีฤทธิ์เผ็ดร้อน แต่ถ้ารสชาติเข้มเกินไป สามารถผสมกับน้ำผึ้งและมะนาว พร้อมกับเติมน้ำแข็งเล็กน้อย ก็จะได้ยาบำรุงร่างกายที่ช่วยกระตุ้นเลือดลม และสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ร่างกายได้
Plant/11565_5_พริกไทย_ราชาเครื่องเทศสรรพคุณเยี่ยม.jpg
"พริกไทย" ราชาเครื่องเทศสรรพคุณเยี่ยม พริกไทยเป็นหนึ่งในสมุนไพรฤทธิ์ร้อน และเป็นเครื่องปรุงที่มีกลิ่นหอม มีรสชาติเผ็ดร้อน สามารถใช้เป็นสารกันเสียได้เนื่องจากมีฤทธิ์ต่อต้านจุลินทรีย์ ลำต้นของพริกไทยเป็นลักษณะเถาวัลย์เลื้อย เป็นไม้ยืนต้นและมีรากเล็กๆ ชอนไชตามลำต้น เพื่อช่วยในการยึดเกาะขึ้นด้านบน พริกไทยเป็นพืชที่ปลูกง่าย เป็นพืชที่ชอบดินที่ระบายน้ำได้ดี และชอบอากาศอุ่นชื้นเป็นหลัก เมื่อมีองค์ประกอบนี้จะทำให้พริกไทยเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

การปลูกพริกไทย
การปลูกพริกไทยให้เจริญเติบโตได้ดีต้องปลูกในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงและแดดไม่แรง รวมไปถึงการเตรียมดินที่เป็นปัจจัยที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้พริกไทยเติบโตได้ง่าย และสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดโรครากเน่าและโคนเน่าได้

1. การเตรียมดิน
แปลงปลูกจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีการระบายน้ำได้ดี ไม่ชื้นแฉะหรือเป็นแอ่งน้ำ ควรปรับพื้นที่ไม่ให้มีสภาพน้ำขัง โดยไถพรวนดินลึกประมาณ 40-60 เซนติเมตร จากนั้นตากดินทิ้งไว้ 15 วัน แล้วทำแปลงปลูกให้มีสภาพเป็นลอนลูกฟูก เพื่อให้มีการระบายน้ำที่ดี หากดินเป็นกรดควรปรับด้วยปูนขาวหรือปูนโดโลไมด์จะช่วยลดความเป็นกรดให้น้อยลง หลังจากนั้นให้ปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ โดยการใส่ปุ๋ยคอก เพื่อให้ดินสามารถดูดซับธาตุอาหารได้ดี ทำให้รากพืชสามารถพัฒนาและนำอาหารไปใช้ได้ง่าย

2. วิธีการปลูกพริกไทย
ให้ใช้ค้างไม้แก่นหรือค้างปูนซีเมนต์ ฝั่งลึก 50-60 เซนติเมตร พร้อมกับกลบดินให้แน่น หลังจากนั้นขุดหลุมให้ลึก 40 เซนติเมตร ค้างละ 1 หลุม ให้มีระยะห่างจากโคนค้าง 15 เซนติเมตร จากนั้นให้ผสมดินกับปุ๋ยอินทรีย์ใส่ในหลุมประมาณครึ่งหลุม นำกิ่งพันธุ์ที่เตรียมไว้ปลูกหลุมละ 2 กิ่ง ให้ปลายยอดเอนเข้าหาค้าง หันค้างที่มีรากออกด้านนอก แล้วกลบดินให้แน่น พร้อมกับรดน้ำให้ชุ่ม

3. การให้น้ำ
เลือกระบบน้ำตามสภาพแวดล้อมที่พริกไทยได้รับน้ำอย่างเพียงพอ การให้น้ำแบบร่องต้องปรับพื้นที่ให้เรียบและมีความลาดเท ทำให้การใช้มินิสปริงเกอร์เป็นวิธีที่ประหยัดน้ำกว่า โดยระยะเวลาการให้น้ำ ควรรดน้ำทุกวันหรือวันเว้นวัน เมื่อพริกไทยเจริญเติบโตขึ้นให้ลดเหลือ 2-3 วันต่อครั้ง ส่วนพริกไทยที่ให้ผลผลิตแล้วควรรดน้ำ 3-4 วันต่อครั้ง

ประโยชน์และสรรพคุณของพริกไทย
พริกไทยเป็นพืชสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่มีสรรพคุณทางยา เป็นราชาเครื่องเทศที่มีรสชาติเผ็ดร้อน สามารถนำมาทำเป็นพริกไทยแห้งไว้ใช้เป็นเครื่องปรุงในการประกอบอาหาร

1. มีสารต้านอนูมูลอิสระสูง
พริกไทยสามารถป้องกันโรคร้ายได้ เพราะภายในพริกไทยมีวิตามินซีและวิตามินเอ พร้อมกับมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ที่ช่วยขจัดสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้

2. ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร
ในพริกไทยจะมีสารไพเพอร์ลีนที่ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร โดยจะหลั่งกรดไฮโดรคลอริกขึ้นมา เพื่อช่วยย่อยโปรตีนในอาหาร

3. แก้อาการไอ
พริกไทยมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียในธรรมชาติ จึงช่วยในการรักษาอาการไอได้ โดยผสมพริกไทยบดกินกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา จะช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก ซึ่งเกิดจากภาวะไข้หวัดใหญ่หรือการติดเชื้อไวรัส

4. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
เปลือกชั้นนอกของพริกไทยมีสารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ช่วยเรื่องทำลายเซลล์ไขมัน และยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารได้อีกด้วย ถ้าคุณกินพริกไทยสดและเริ่มมีเหงื่อออก แสดงว่าพริกไทยเริ่มกำจัดน้ำส่วนเกินในร่างกายออกมานั่นเอง
Plant/11565_6_ใบกะเพรา_สมุนไพรบรรเทาอาการหวัด.jpg
"ใบกะเพรา" สมุนไพรบรรเทาอาการหวัด กะเพราเป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อนที่ให้คุณค่าทางสารอาหารมากมาย เพราะมีเบต้าแคโรทีนกับวิตามินเอที่สูง ช่วยบำรุงสายตาและป้องกันการเสื่อมของสายตาก่อนวัยอันควร พร้อมกับยังมีธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน อีกทั้งใบกะเพรามีกลิ่นรสฉุนหอมพิเศษเฉพาะตัว เนื่องจากมีน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบไปด้วย เมทิลชาวิคอล ไลนาโลออล ยูจีนนอล และแคมเฟอร์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย พร้อมยับยั้งการสังเคราะห์สารที่ทำให้เกิดอาการอักเสบอีกด้วย

การปลูกกะเพรา
การเลือกพื้นที่สำหรับปลูกกะเพราต้องเลือกพื้นที่ให้เหมาะสม เพราะกะเพราเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุเฉลี่ย 1-2 ปี ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้เรื่อยๆ โดยสามารถปลูกกะเพราได้ในดินทุกชนิด แต่ถ้าจะให้ดีต้องเป็นดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์ และระบายน้ำได้ดี

1. การเตรียมดิน
กะเพราเป็นพืชที่มีระบบรากลึกปานกลาง ปลูกครั้งเดียวสามารถเก็บเกี่ยวได้ 10-15 ครั้ง ต่อระยะเวลา 7-8 เดือน หลังจากนั้นผลผลิตจะลดลง กิ่งก้านจะแข็งและแตกยอดน้อย ดังนั้นควรรื้อปลูกใหม่ โดยการไถหรือขุดดินให้ลึกประมาณ 20-25 เซนติเมตร ตากดินไว้ 7-10 วัน แล้วใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปให้คลุกเคล้าเข้ากับดิน เท่านี้ก็เตรียมพร้อมสำหรับการปลูกแล้วเรียบร้อย

2. วิธีการปลูก
การปลูกที่นิยมมากที่สุดจะมีอยู๋ 3 แบบ ด้วยกัน ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีความแตกต่างกันไป มีวิธีปลูกแบบไหนบ้างเราไปดูกัน

2.1 ปลูกโดยการหว่านเมล็ด
การปลูกด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เมล็ดพันธุ์มาก โดยเริ่มจากรดน้ำให้ชุ่มทั่วแปลง แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ให้กระจายสม่ำเสมอทั้วแปลง จากนั้นใช้แกลบขาวหรือแกลบดำโรยคลุมให้ทั่วแปลง พร้อมกับใช้ฟางแห้งหรือหญ้าแห้งคลุมทับบางๆ และรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ

2.2 ปลูกโดยการใช้ต้นกล้า
วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก เพราะให้ผลผลิตสูงและสะดวกในการจัดการ โดยทำการเพาะกล้าในแปลงเพาะ จนกระทั่งต้นกล้ามีอายุ 20-25 วัน จึงทำการย้ายปลูก การย้ายปลูกควรทำในตอนเย็นและปลูกให้เสร็จภายในวันเดียวกัน เมื่อถอนต้นกล้ามาแล้วจึงเด็ดยอดออก ขุดหลุมให้ได้ระยะ 20x20 เซนติเมตร แล้วนำต้นกล้าที่เด็ดยอดแล้วลงปลูก หลังจากนั้นใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมระหว่างแถว พร้อมกับรดน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นตามทันที

2.3 ปลูกโดยการใช้ต้นและกิ่งแก่
การปลูกโดยใช้ลำต้นและกิ่งแก่ทำให้ได้ผลผลิตเร็ว แต่กิ่งและยอดที่แตกออกมาใหม่มักไม่สวยเท่าที่ควร ลำต้นโทรมและตายเร็ว ซึ่งวิธีการนี้ทำได้โดยตัดต้นและกิ่งแก่ที่มีอายุมากกว่า 8 เดือน ให้มีความยาว 5-10 เซนติเมตร จากนั้นให้เด็ดยอดและใบออก แล้วนำต้นหรือกิ่งแก่ไปปักชำในแปลง ใช้ระยะปลูก 20x20 เซนติเมตร หลังจากนั้นใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมระหว่างแถว และดูแลรดน้ำอย่างสม่ำเสมออย่าให้ขาด

3. การให้น้ำ
กะเพราเป็นพืชที่ต้องการความชื้นสูงและสม่ำเสมอ ดังนั้นควรรดน้ำทุกวันในตอนเช้าและเย็น แต่ระวังอย่าให้มีการท่วมขังของน้ำในแปลง ในระยะแรกควรมีการพรวนดินและกำจัดวัชพืชทุก 1-2 สัปดาห์ โดยการใช้มือถอน ใช้จอบ หรือเสียมดายหญ้าออก และระวังอย่าให้กระทบเทือนต่อต้นและราก

ประโยชน์และสรรพคุณของกะเพรา
ประโยชน์ของใบกะเพรามีสรรพคุณดีๆ ที่คาดไม่ถึงอยู่มากมาย จุดเด่นของกะเพราก็คือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หอมฉุนและรสชาติที่เผ็ดร้อน ยิ่งถ้าถูกความร้อนกลิ่นก็จะยิ่งแรง ชวนให้น่ารับประทานมากขึ้น

1. ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น
กะเพรามีสรรพคุณช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงป้องกันการเจ็บป่วยจากอาการหวัดได้ดี หากใครที่เป็นหวัดบ่อยๆ ลองกินกะเพราเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายต้านหวัดได้

2. ช่วยยับยั้งการอักเสบ
กะเพราสามารถยับยั้งอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในกะเพรามีสารระเหยสำคัญที่มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบได้ โดยให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับยาแอสไพรินที่ลดอาการอักเสบ

3. มีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันและคอเรสตอรอล
กะเพรามีสรรพคุณในการช่วยลดระดับไขมันและปริมาณคอเรสตอรอลในร่างกาย ทำให้ระดับของน้ำตาลลดลง ช่วยรักษาและป้องกันโรคเบาหวานได้

4. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
กะเพรามีคุณสมบัติช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร อันเนื่องมาจากกินอาหารไม่ตรงเวลา โดยกะเพราจะลดการเกิดกรด แล้วเพิ่มการหลั่งสารเยื่อเมือกในกระเพาะอาหาร ทำให้ช่วยสมานแผลและป้องกันไม่ให้เยื่อบุกระเพาะอาหารถูกทำลาย

5. ช่วยขยายหลอดเลือด
กะเพรามีส่วนสำคัญในการช่วยขยายหลอดเลือด จึงสามารถลดความดันเลือดได้ และช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดอีกด้วย

"สมุนไพรฤทธิ์ร้อน" เป็นพืชที่แฝงไปด้วยประโยชน์มากมาย ช่วยให้ร่างกายต้านโรคภัยได้เป็นอย่างดี เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เพราะได้กินผักที่ปลูกอย่างสร้างสรรค์ ด้วยรูปแบบวิถีเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพของคนกิน ก็ยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานจากโรคภัยไข้เจ็บได้ นี่จึงเป็นความสุขแบบง่ายๆ ที่ได้ประโยชน์ไปพร้อมกัน
ตกลง