เตือนการระบาดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
2 ต.ค. 2560
2,147
0
เตือนการระบาดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
เตือนการระบาดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
เตือนการระบาดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

#เตือนการระบาดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

เตือนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทุกภาคของประเทศไทย จากข้อมูลการสํารวจแปลงติดตามสถานการณ์และข้อมูลรายงานสถานการณ์ศัตรูข้าว พบการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดในเขตภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากช่วงสภาพอากาศในช่วงนี้เหมาะต่อการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ดังนั้น ขอให้เกษตรกรเฝ้าระวังการระบาด และหมั่นสํารวจแปลงนาอย่างสม่ำเสมอ หากพบให้รีบแจ้งสํานักงานเกษตรอําเภอใกล้บ้าน เพื่อดําเนินการควบคุมและป้องกันกําจัดก่อนเกิดการระบาดรุนแรง

#ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nilaparvata lugens

#วงศ์ : Delphacidae

#อันดับ : Homoptera

#ชื่อสามัญอื่น : เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น เพลี้ยหลุม และเพลี้ย

#รูปร่างลักษณะ

เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลเป็นแมลงปากดูด ตัวเต็มวัยมีขนาดยาวประมาณ ๓ มิลลิเมตร กว้าง ๑ มิลลิเมตร ลําตัวมีสีน้ำตาลจนถึงสีน้ำตาลปนดํา มีรูปร่าง ๒ ลักษณะ คือ ชนิดปีกยาว (macropterous form) และชนิดปีกสั้น (brachyterous form) ตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ตัวเต็มวัยมีชีวิตประมาณ ๒ สัปดาห์ตัวเมียชนิดปีกยาวสามารถวางไข่ได้ ๑๐๐ ฟอง และตัวเมียชนิดปีกสั้นสามารถวางไข่ได้ ๓๐๐ ฟองในช่วงชีวิต ๒ สัปดาห์ โดยตัวเมียจะวางไข่เป็นกลุ่มเรียงแถวที่เส้นกลางใบหรือกาบใบ กลุ่มละประมาณ ๘ - ๑๐ ฟอง ซึ่งมองเห็นเป็นรอยช้ำสีน้ำตาลตรงบริเวณที่วางไข่ และไข่จะฟักเป็นตัวอ่อนภายใน ๗ - ๙ วันตัวอ่อนลอกคราบ ๕ ครั้ง ภายในระยะเวลา ๑๑ - ๑๗ วัน เพื่อเป็นตัวเต็มวัยโดยทั่วไปแล้วตัวเมียมีอายุเฉลี่ยประมาณ ๑๕ วัน ส่วนตัวผู้มีอายุเฉลี่ยประมาณ ๑๓ วัน ตัวเต็มวัยชนิดปีกสั้นบินไม่ได้จะอาศัยอยู่ในแปลงนาดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นข้าวและขยายพันธุ์ ส่วนพวกปีกยาวสามารถบินอพยพไปยังแปลงนาอื่นได้

#ลักษณะการทําลาย

หนอนกระทู้หอมจัดได้ว่าเป็นแมลงศัตรูที่สําคัญต่อการปลูกผักในประเทศไทยมาก หนอนชนิดนี้แพร่ระบาดมานานหลายปีแล้วเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เกษตรกรผู้คยปลูกหอมแถวอําเภอดําเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี โดยหนอนเมื่อฟักออกจากไข่ในวัยแรกทําลายพืชโดยการกัดกินบริเวณส่วนต่าง ๆ ของพืช การทําลายยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนักความเสียหายมักพบรุนแรงกับหนอนในระยะโตขึ้นตั้งแต่วัย 3 ขึ้นไป โดยหนอนจะแยกย้ายกัดกินทุกส่วนของพืช ในช่วงนี้หากปริมาณหนอนมาก ความเสียหายจะรุนแรงมากขึ้น หากป้องกันกําจัดไม่ถูกต้องแล้ว ผลผลิตจะได้รับความเสียหายและคุณภาพพืชผักไม่เป็นที่ต้องการของตลาด

#กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนําวิธีการป้องกันกําจัดดังนี้

๑. ในฤดูปลูกถัดไปควรปลูกข้าวพันธุ์ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เช่น กข ๖ กข ๓๑ กข ๔๑ กข ๔๗ สุพรรณบุรี ๒ สุพรรณบุรี ๓ สุพรรณบุรี ๙๐ พิษณุโลก ๒ เป็นต้น และไม่ควรปลูกพันธุ์เดียวติดต่อกันเกิน ๔ ฤดูปลูก ควรปลูกสลับกับระหว่างพันธุ์ต้านทานสูงกับพันธุ์ทนทานหรือพันธุ์อ่อนแอปานกลาง โดยพิจารณาอายุเก็บเกี่ยวให้ใกล้เคียงกัน เพื่อลดความเสียหายเมื่อเกิดการระบาดรุนแรง

๒. สํารวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อนําองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบนิเวศในแปลงนานํามาวิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตนเองในการจัดการแปลงจากสถานการณ์จริง

๓. ในแหล่งที่มีการระบาด และควบคุมระดับน้ำในนาได้ หลังปักดําหรือหว่าน ๒-๓ สัปดาห์จนถึงระยะตั้งท้องควบคุมน้ำในแปลงนาให้พอดินเปียก หรือมีน้ำเรี่ยผิวดินนาน ๗-๑๐ วัน แล้วปล่อยขังทิ้งไว้ให้แห้งเองสลับกันไป จะช่วยลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

๔. ใช้เชื้อราบิวเวอเรีย (เชื้อสด) อัตรา ๑ กิโลกรัม (๒ ถุง) ต่อน้ำ ๒๐ ลิตร ควรพ่นในบริเวณที่พบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและควรพ่นในเวลาเย็นสารเคมีที่แนะนําให้ใช้ในการกําจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล

๑. ข้าวระยะกล้าถึงแตกกอ (อายุ ๓๐-๔๕ วัน)

- บูโพรเฟซิน ๒๕ % WP ๑๐ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- บูโพรเฟซิน ๑๐ % WP ๒๕ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- บูโพรเฟซิน ๕ % WP + ไอโซโปรคาร์บ ๒๐ % WP ๕๐ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

๒. ข้าวระยะแตกกอเต็มที่

- อีโทเฟนพร็อกซ์ ๑๐ % EC ๒๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- อีโทเฟนพร็อกซ์ ๕ % EC ๔๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- คาร์โบซัลเฟน ๒๐ % EC ๑๑๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- ฟีโนบูคาร์บ ๕๐ % EC ๖๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- ไฮโซโปรคาร์บ ๕๐ % WP ๖๐ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

๓. ข้าวระยะตั้งท้องถึงออกรวง

- ไดโนทีฟูแรน ๑๐ % WP ๑๕ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- ไทอะมิโทแซม ๒๕ % WG ๒ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- โคลไทอะนิดิน ๑๖ % ๖-๙ กรัมต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- อิมิดาโคลพริด ๑๐ % SL ๑๕ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

- อีทีโพรล ๑๐ % SC ๕๐ ซีซีต่อน้ำ ๒๐ ลิตร

สารเคมีที่ไม่แนะนําให้ใช้ในนาข้าว

สารเคมีบางชนิดที่ไม่แนะนําให้ใช้ในนาข้าวเนื่องจากจะทําให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดเพิ่มขึ้นเป็นสารกลุ่มไพรีทรอยด์สังเคราะห์ ได้แก่

๑. แอลฟาไซเพอร์เมทริน ๑๐ % EC ชนิดพ่นน้ำ

๒. ไซแฮโลทริน แอล ๕ % EC ชนิดพ่นน้ำ

๓. ไซเพอร์เมทริน ๑๕ % EC ๒๕ % EC ชนิดพ่นน้ำ

 

#ที่มา : สํานักวิจัยและพัฒนาข้าว กรมการข้าว

#เรียบเรียงโดย : กลุ่มพยากรณ์และเตือนการระบาดศัตรูพืช กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย

#ศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โทรศัพท์/โทรสาร ๐-๒๒๘๑-๙๔๐๑ E-mail : disas_moac@hotmail.com

ตกลง