วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 เวลา 13.30 น.
นายพีรพันธ์ คอทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมตรวจติดตามการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามแผนการตรวจราชการ และการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รอบที่ 2 จังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วย เกษตรและสหกรณ์จังหวัด ผู้ช่วยผู้ตรวจราชการ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกลแบบออนไลน์ (Application Zoom)
ในการนี้ หน่วยงานได้ร่วมนำเสนอข้อมูลรายงานความก้าวหน้า ผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานในสินค้าเกษตรที่สำคัญ จากข้อค้นพบ ปัญหา/ความท้าทาย และข้อเสนอแนวทางการแก้ไข/พัฒนา ตามผลการตรวจราชการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รอบที่ 1 และได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยนแนวทางการขับเคลื่อนพัฒนาสินค้าเกษตรที่สำคัญของจังหวัด (ข้าว และ โคเนื้อ/โคขุน) ตามนโยบายที่สำคัญของกระทรวง
ข้อค้นพบ และปัญหาอุปสรรค ดังนี้
1. ด้านทรัพยากรการผลิต (ดิน และ น้ำ) พบว่าพื้นที่เพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่ (ร้อยละ 69) อยู่ในพื้นที่ S3 โดยสภาพพื้นที่ ทรัพยากรดินเป็นดินดอนในเขตดินแห้ง เนื้อดินเป็นดินทรายไม่อุ้มน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำ ในด้านทรัพยากรน้ำพบว่าเกษตรกรใช้ประโยชน์จากน้ำฝนเป็นหลัก อันเป็นข้อจำกัดสำคัญด้านการเกษตรที่ใช้น้ำมาก
2. ด้านประสิทธิภาพการผลิต พบว่า ผลผลิตเฉลี่ยที่เกษตรกร (สินค้าข้าว โคเนื้อ โคขุน) ยังน้อยกว่าศักยภาพการให้ผลผลิต (Potential Yield) สะท้อนถึงว่ายังมีโอกาสที่เกษตรกรจะมีกำไรสุทธิต่อหน่วยเพิ่มขึ้น หากเกษตรกรมีทักษะและยอมรับเทคโนโลยี
3. ด้านคุณภาพและมาตรฐานในการรับรองสินค้า พบข้อจำกัดของระบบการพัฒนาเกษตรกร และการพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ระบบมาตรฐานสินค้าเกษตร เช่น สภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลง การเข้าสู่สังคมสูงวัย การสร้างความรู้ความเข้าใจการยอมรับเทคโนโลยีของเกษตรกร, การเชื่อมโยงส่งต่อข้อมูลระหว่างหน่วยงานตรวจรับรอง, สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้โอกาสการเกิดโรค/แมลงศัตรูพืช โรคอุบัติใหม่ มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งต้องปรับวิธีการจัดการและปรับข้อมูลความรู้ทางวิชาการและหลักสูตรการอบรมเกษตรกรที่เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง
4. ด้านช่องทางตลาด ผ่านระบบสถาบันเกษตรกร (สหกรณ์การเกษตรคำชะอี และสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคเนื้อหนองสูง) พบว่ามีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับที่มีความเสี่ยงสูง (5.76 และ 5.97 ตามลำดับ) แสดงให้เห็นว่ากิจการมีความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินมาใช้ดำเนินกิจการ นอกจากนั้นยังพบว่าข้อสังเกตของตรวจสอบบัญชียังได้รับการแก้ไขไม่แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่ควรจะเป็น ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการบริหารกิจการให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของระบบสถาบันเกษตรกรที่มุ่งเน้นให้เป็นช่องทางตลาดให้แก่เกษตรกรสมาชิก
ทั้งนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีข้อเสนอแนะในภาพรวม ดังนี้
1. ในด้านการจัดการทรัพยากรการผลิต ชื่นชมแนวทางการจัดการดินและน้ำ (Land leveling : การปรับระดับดินหรือปรับพื้นที่ที่มีลักษณะ สูงๆ ต่ำๆ ให้ราบเรียบสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถทำการให้น้ำชลประทานทางผิวดิน หรือการทำงานของเครื่องมือเครื่องจักรทางการเกษตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ, การปลูกปอเทือง และปุ๋ยชีวภาพ เพื่อปริมาณอินทรีย์วัตถุ, การสร้างแหล่งน้ำต้นทุนขนาดเล็ก) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวเหนียว กข 6 ตามที่ได้มีการถอดบทเรียนจากเกษตรกรในพื้นที่ อำเภอคำชะอี รวมถึง ชลประทานจังหวัดได้มีการสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ อย่างไรก็ตามขอให้ได้มีการติดตามผลสัมฤทธิ์ โดยการเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์ต่อเนื่องรวมถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่เกษตรกรทั้งในแง่ของประสิทธิภาพการผลิต, รายได้ การลงทุนและผลตอบแทน ฯลฯ เพื่อขยายผลหรือวิเคราะห์แนวทางในการพัฒนาอื่น ๆ ต่อไป และขอให้ทุกหน่วยงานภาคเกษตร ทั้งที่มีภารกิจหลักในด้านทรัพยากรการผลิต และในด้านส่งเสริมการผลิต และวิชาการ ได้ร่วมศึกษา ทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และร่วมสร้างทักษะใหม่แก่เกษตรกร ในด้านเทคโนโลยีการจัดการดินและน้ำเพิ่มมากขึ้น (เทคโนโลยีการจัดการน้ำในไร่นาสมัยใหม่ ข้อมูลแหล่งน้ำใต้ดินและค่าความเข้มของแสงเพื่อวิเคราะห์การลงทุนระบบน้ำบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์) ทั้งนี้ เน้นย้ำให้ ชป. ได้ติดตาม เฝ้าระวัง บริหารความคาดหวัง และลดความขัดแย้ง ของกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำในพื้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความเป็นธรรม ภายใต้กติกาที่กำหนด
2. ด้านการผลิตพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ เน้นย้ำให้ปศุสัตว์จังหวัดและ ศวข. อุบลราชธานี สอบทานประสิทธิภาพกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานสายพันธุ์ของผู้จำหน่าย/ให้บริการ (น้ำเชื้อโคเนื้อ พันธ์ุข้าว) เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเกษตรกรจะได้รับการบริการ/สินค้าที่มีมาตรฐาน สามารถสร้างผลผลิตและผลตอบแทนตรงตามศักยภาพของสายพันธุ์ และความต้องการของตลาด นอกจากนั้นให้เน้นย้ำให้ส่วนราชการศึกษาวิเคราะห์ศักยภาพการให้ผลผลิต (Yield Potential) และใช้ประโยชน์จาก Bio Technology เพื่อประเมินประสิทธิภาพการผลิตจริงของเกษตรกรในจังหวัด (Actual Yield) เพื่อนำไปสู่การแสวงหาองค์ความรู้และเทคโนโลยีมาถ่ายทอดให้เกษตรกรได้พัฒนากระบวนการผลิตที่บรรลุเป้าหมาย Attainable Yield โดยปรับปรุงพัฒนากระบวนฝึกอบรมให้เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ขอให้สำนักงานสหกรณ์จังหวัด สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์จังหวัด ได้ใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูลแนวโน้มการปรับปรุงพันธุ์โคเนื้อพื้นฐานของจังหวัด (ข้อมูลจาก ปศ พบว่า เกษตรกรนิยมใช้น้ำเชื้อโคเนื้อสายพันธุ์บราหมันแดง และชาโลเลย์) ศักยภาพการให้ผลผลิต (Yield Potential) มาประกอบการวิเคราะห์แนวโน้มการตลาดของสินค้า (ตลาดเนื้อโคนิยม เนื้อโคที่มีไขมันแทรกสูง เช่น ไทยวากิว) เพื่อพิจารณาปรับกลยุทธ์การดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรคำชะอี (สินค้าข้าว) และสหกรณ์การเกษตรหนองสูง (สินค้าโคเนื้อ/โคขุน) ให้สอดคล้อง เหมาะสม และลดความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ธุรกิจในอนาคต
3. ด้านการป้องกันโรคระบาดพืชและสัตว์ ขอให้มีการสอบทานกระบวนการเฝ้าระวังโรคระบาด และระบบควบคุมภายในทั้ง 2 สินค้า โดยเฉพาะการเฝ้าะระวังและรายงานโรคของเกษตรกรศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน และสัตวแพทย์ประจำท้องที่ (แผนการออกตรวจโรค การรายงานข้อมูลเฝ้าระวังโรค) รวมถึง ปรับแผนการสุ่มตรวจให้สอดคล้องกับฤดูกาล/ห้วงเวลาที่มีแนวโน้มจะเกิดความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการ (ลดการใช้ทรัพยากร เพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็ว) ต่อไป
4. ด้านคุณภาพและมาตรฐานในการรับรองสินค้า ควรสอบทานประสิทธิภาพของแผน/ผลการสุ่มตรวจร้านค้า/ผู้ให้บริการจำหน่ายปัจจัยการผลิต (ปุ๋ย สารชีวภัณฑ์ สารเคมีทางการเกษตร ยาและเวชภัณฑ์ วัคซีน) แผน/ผลการสุ่มตรวจระดับความปลอดภัยด้านอาหารสินค้าเกษตรและอาหาร (การปนเปื้อนแบคทีเรียทางชีวภาพ) เพื่อทราบความเสี่ยงการปนเปื้อนและการใช้ที่ไม่ถูกต้อง (ถูกปริมาณ ถูกเวลา) อีกทั้งปรับแผนการสุ่มตรวจให้สอดคล้องกับฤดูกาล/ห้วงเวลาที่มีแนวโน้มจะเกิดความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เพื่อการจัดการความเสี่ยงให้ลดลง โดยควรมีการแบ่งปันสื่อสารข้อมูลความเสี่ยงร่วมกันในระดับจังหวัด โดยใช้กลไก SCP และ อพก. เพื่อให้เกิดการสื่อสารความตระหนัก ความเข้าถึงผลกระทบและวิธีการบรรเทาผลกระทบให้เกษตรกร อันเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภค ภาคประชาชนที่มีบทบาทและพลังมากขึ้น ทั้งนี้ ในด้านการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรเข้าสู่ระบบมาตรฐานสินค้า หน่วยงานควรส่งเสริม พัฒนาทักษะ ความรู้ แก่เกษตรกรที่มีความมุ่งมั่นสูง มีความพร้อมทางการเงินและการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนในระยะยาว โดยปรับหลักสูตร/วิธีการอบรม ให้มีหัวข้อวิชาว่าด้วยการวิเคราะห์วางแผนการลงทุนและผลตอบแทน (จุดคุ้มทุน/ความเสี่ยงด้านการลงทุน/ความพร้อมของโลจิสติกส์สินค้ามาตรฐาน) ทั้งนี้ เพื่อให้เข้าใจเงื่อนไขความสำเร็จการเข้าสู่ระบบมาตรฐาน เกิดความเชื่อมั่นและยอมรับความต้องการของตลาด ประกอบการตัดสินใจลงทุน
5. การพัฒนาช่องทางการตลาด ควรมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพการบริหารงานของคณะกรรมการฝ่ายบริหารและเจ้าหน้าที่สถาบันเกษตรกรโดยเฉพาะความตระหนักถึงบทบาทความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ และศักยภาพด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์/การเงิน/การดำเนินกิจการ/กฎหมาย โดยปรับปรุง/พัฒนา กระบวนการฝึกอบรมคณะกรรมการ ผู้บริหารสหกรณ์ ตลอดจนการให้ข้อสังเกตในรายงานการประชุมคณะกรรมการ โดย สหกรณ์จังหวัด และตรวจบัญชีสหกรณ์จังหวัด และการติดตามกระบวนการปรับปรุงตามข้อสังเกตของผู้ตรวจสอบบัญชี ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจของสถาบันเกษตรกรให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องตามเจตนารมณ์ และเกิดความเข้มแข็ง
6. การลดต้นทุน โดยระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ การใช้กลไก ศพก. และ SF/YSF สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งจังหวัด โดยส่วนราชการ (ปศ กษจ ศวข พด ชป ตส และกษ ร่วมกับ สวทช และ AIC มหาวิทยาลัยนครพนม) ได้รับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการไปพิจารณาดำเนินการ กำหนดพื้นที่นำร่อง/ทดสอบ/สาธิต กระบวนการผลิตที่ใช้ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว ประกอบด้วย (1) พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมและสร้างทักษะใหม่ให้แก่เกษตรกร เช่น วิชาว่าด้วย Learning How to Learn, การปรับตัวและบรรเทาผลกระทบจาก Climate Change, เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, วิเคราะห์การลงทุนและผลตอบแทน, การเงินและความเสี่ยงทางการเงิน เป็นต้น โดยการศึกษาวิเคราะห์ Potential Yield ของสินค้า เพื่อหาความต้องการความรู้หรือเติมเต็มช่องว่างของความรู้ที่เหมาะสมกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ (2) กำหนดพื้นที่การทำงานร่วมกัน (Collaboration Areas) ในระหว่าง ส่วนภูมิภาค ส่วนกลาง สถาบันการศึกษา (AIC) ภาคเอกชน เพื่อประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวกับการผลิตและแสวงหาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการจัดการความเสี่ยงร่วมกัน รวมถึง การใช้ประโยชน์จากการถอดบทเรียนเกษตรกรต้นแบบ จากชุดข้อมูลการจัดทำ IFPP และการวิเคราะห์งบการเงินของ Smart Farmer นางประมวล หนองสูง และนายพัฒนา จันทร์เต็ม ซึ่งค้นพบได้ว่า มีการผลิตและสร้างรายได้จากสินค้าเกษตรมากกว่า 3 ชนิด (ข้าว โคเนื้อ ไก่เนื้อ ยางพารา) อันแสดงให้เห็นว่าหากมีการจัดการข้อมูลด้านการผลิตและด้านงบการเงินที่ดีแล้วจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการพัฒนาผลิตภาพ (โดยใช้หลักวิเคราะห์ Yield Potential) และผลตอบแทน (ใช้หลักวิเคราะห์งบการเงิน) ให้สูงขึ้นได้อย่างชัดเจน จึงควรนำรูปแบบการพัฒนากระบวนการส่งเสริมดังกล่าวไปดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อได้ข้อมูลขนาดใหญ่และแม่นยำ สำหรับขยายผลต่อไป
7. การบริหารจัดการข้อมูลเกษตรกรร่วมกัน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ (ข้อมูลทะเบียนเกษตรกร (พืช ประมง และปศุสัตว์),ทะเบียนกลุ่มองค์กรผู้ใช้น้ำ, อาสาสมัครเกษตร, ข้อมูลการถือครองที่ดินภาคเกษตร (เอกสารสิทธิ์/เขตปฏิรูปที่ดิน) ฯลฯ) โดยเกษตรและสหกรณ์จังหวัดรวบรวม บริหารจัดการข้อมูลเกษตรกรรายบุคคล และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบพื้นฐาน (Descriptive analytics) และการวิเคราะห์แบบพยากรณ์ (Predictive analytics) ที่เป็นระบบและเป็นปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการใช้ข้อมูลเชื่อมต่อกับ Platform Application ทั้งของภาครัฐ เช่น Farmbook และภาคเอกชน และบูรณาการวางแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับจังหวัดต่อไป รวมถึง การพัฒนาข้อมูลสำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากข้อมูลนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจในการผลิต การลงทุนและผลตอบแทน รวมถึงการใช้ข้อมูลความเสี่ยงตามกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ส่วนราชการระดับจังหวัดได้ใช้ประโยชน์วิเคราะห์ สื่อสารความเสี่ยงและจัดการบรรเทาผลกระทบจากความเสี่ยงร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม นโยบายระดับกระทรวงและกรมที่เกี่ยวข้อง ควรสนับสนุนและออกแบบแผนปฎิบัติการเพื่อให้ราชการส่วนภูมิภาคได้ปรับปรุงพัฒนากระบวนการอบรมสร้างทักษะใหม่ (หลักสูตร องค์ความรู้สมัยใหม่ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงานวิจัยและหน่วยปฎิบัติ การวิจัยทดสอบเทคโนโลยีในระดับจังหวัด การพัฒนาองค์ความรู้ผ่าน Education Tech (Digital Content) เพื่อบรรเทาข้อจำกัดด้านวิทยากรที่มีความสามารถสูง) การพัฒนาระบบทะเบียนเกษตรกรระหว่างพืช ปศุสัตว์ ประมง ให้อยู่บน Platform เดียวกัน การเปิดโอกาสให้สามารถแบ่งปันข้อมูลการเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านโรคระบาด ด้านความปลอดภัยอาหาร ด้านการใช้สารเคมีทางการเกษตร ยาและเวชภัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อยกระดับผลิตภาพของเกษตรกร และระบบบริหารความเสี่ยงในระดับจังหวัดให้สูงขึ้น และเกิดความคุ้มค่าเชิงงบประมาณ
โดยการประชุมครั้งนี้ เป็นการการประชุมตรวจราชการฯ ตามแผนการตรวจราชการและการและการขับเคลื่อนแบบบูรณาการในระดับพื้นที่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งมุ่งเน้นการตรวจราชการเป็นรายสินค้าเกษตรที่สำคัญ ผ่านการผลักดันการขับเคลื่อนงานภายใต้นโยบายสำคัญของกระทรวง